ภาคแรกถือว่าดูได้เพลินๆ แต่ในแง่รสชาติอาจยังไม่จัดจ้าน หรือน่าจดจำมากนัก แต่มาภาค 2 นี่ถือว่าอะไรๆ ลงตัวขึ้นเยอะครับ ไม่ว่าจะดารา การเดินเรื่อง หรือบรรยากาศ (ที่ตรงกับช่วงคริสต์มาส)

แม้นี่จะเป็นภาคนี้ แต่คราวนี้หนังดัดแปลงจากนิยายเล่มที่ 12 ของชุด Hannah Swensen series (แต่งโดย Joanne Fluke) ครับ เหตุเกิดช่วง 1 สัปดาห์ก่อนคริสต์มาส ชีวิตของฮันนาห์ (Alison Sweeney) ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือมีความสุขอยู่ในร้านคุกกี้ จาร์ ที่ที่เธอได้รังสรรค์คุกกี้และของหวานสารพัดให้ชาวเมืองได้ลองลิ้ม

ส่วนเรื่องหัวใจก็ยังเหมือนเดิมครับ เธอยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่คุณแม่จอมจุ้น (Barbara Niven) ก็พยายามเชียร์ให้ลูกไปคบหาหมอฟันสุดหล่อ นอร์แมน โรดส์ (Gabriel Hogan) ที่สาวๆ หลายคนก็คิดหมายปองอยู่ไม่ใช่น้อย

ขณะเดียวกันเธอก็มักจะได้พบกับ ไมค์ (Cameron Mathison) ตำรวจหนุ่มประจำเมืองที่มากวนเธออยู่บ่อยๆ และจะว่าไปที่เธอต้องเจอเขาบ่อยๆ ก็คงเพราะเธอไปเจอศพอีกแล้วน่ะครับ หนนี้ก็มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นอีก แล้วการสืบสวนแบบวุ่นๆ ก็เริ่มอีกหน

ภาคนี้ทุกอย่างลงตัวพอเหมาะขึ้นครับ เริ่มจากดาราที่เล่นกันได้ลื่นดี Sweeney ดูสบายขึ้นกับบทฮันนาห์ มีชีวิตชีวาและความน่ารักแบบผู้ใหญ่ ส่วน Niven ก็ยังจุ้นแบบน่ารักได้เรื่อยๆ ดาราส่วนใหญ่เล่นได้ดีครับ เพิ่มอารมณ์น่ารักให้หนังได้เยอะเลย

ในแง่เนื้อหาก็ถือว่าเดินเรื่องได้น่าติดตามขึ้น ผสมส่วนประกอบต่างๆ ได้พอเหมาะขึ้น ซึ่งในหนังเรื่องนี้ (รวมถึงนิยาย) จุดเด่นคือการผสมเอาเรื่องชีวิตที่วุ่นนิดๆ ของสาวสวยเจ้าของร้านคุกกี้ในเมืองเล็กๆ บวกกับการสืบคดีที่ไม่ซับซ้อน แต่มีปมให้ติดตาม และเติมความโรแมนติกเล็กๆ ผสมลงไป ซึ่งหนังก็เล่าเรื่องทั้ง 3 ส่วนนี้ได้ดีครับ ครบรสใช้ได้ทีเดียว

ผมชอบอารมณ์ในหนังในแต่ละฉากที่มันได้ที่นะครับ อย่างตอนในร้านคุกกี้จาร์ เราก็จะได้เห็นภาพคนเดินเข้าออก แวะมาคุยกับฮันนาห์บ้าง หรือได้เห็นฮันนาห์ทำเบเกอรี่บ้าง มันได้อารมณ์ประหนึ่งเราไปนั่งอยู่ในร้านเบเกอรี่ชิลๆ สักร้านหนึ่งยังไงยังงั้น

หรือบรรยากาศในเมืองช่วงคริสต์มาสมันก็ดูหนาวนั่นแหละครับ แต่ก็มีแสงไฟประดับ มีสีเขียวของต้นสนมาตัดกับสีขาวของหิมะ โทนมันเลยดูมีชีวิตชีวา ไหนจะเสื้อผ้าของฮันนาห์อีก ที่แฟชั่นอาจไม่ได้หวือหวา แต่เลือกสีได้เด่น ขับเน้นตัวฮันนาห์ให้ดูเด่นได้มากทีเดียว

เท่าที่ดูหนัง Hallmark ที่ดัดแปลงจากนิยายมา ผมว่าเรื่องนี้โอเคสุดครับ หลายอย่างลงตัวกลมกล่อม มันอาจไม่ได้ตรงกับในนิยายเป๊ะๆ แต่หลายอย่างมันใช่ อารมณ์มันได้ ดูแล้วได้อารมณ์และมีเอกลักษณ์ดี และพอดูแล้วมันมีความสุขยังไงก็ไม่รู้ครับ

ถึงจุดหนึ่งผมเกิดความคิดอยากให้มีการนำเข้าบ้านเราบ้างนะเนี่ย คือรู้ครับว่าหนังมันไม่ได้ตลาดอะไรหรอก ถ้าฉายโรงคงมีแต่นิ่งกับนิ่ง ดังนั้นก็ไม่ต้องฉายโรงก็ได้ แต่ถ้าเอามาฉายทีวีก็น่าจะไม่เลวครับ ใครสักคนซื้อเวลาช่วงบ่ายๆ วันอาทิตย์นะ เอามาฉายสัปดาห์ละเรื่อง แม้เรตติ้งจะไม่พุ่ง แต่ก็ต้องมีคนตามดูบ้างล่ะครับ

เพราะหนังสไตล์นี้มันดูแล้วสบายใจครับ ขำๆ เพลินๆ หลายคนน่าจะชอบ (โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ชอบอ่านนิยายนะ) และงานโปรดักชั่นก็ไม่ได้เห่ยด้วย จริงๆ คือดูดีเลยล่ะครับสำหรับมาตรฐานหนังทีวี เชื่อว่าหลายคนถ้าได้นั่งดูในวันหยุดล่ะก็ น่าจะเป็นการผ่อนคลายที่ไม่เลวเหมือนกัน

หนังยังมีตอนต่ออีกครับ ซึ่งผมก็ตามดูอีกนั่นแหละ เพราะดูแล้วสบายใจดี ตัวละครน่ารักๆ เนื้อเรื่องไม่โล่งเกิน แต่ก็ไม่ซับซ้อนเกิน อะไรๆ ถือว่าพอเหมาะสำหรับความเป็นหนังสืบสวนผสมตลกและโรแมนติก เป็นอีกเรื่องที่แนะนำครับ
คะแนนความชอบ 7/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน