รีวิว Taken 3 (2015) เทคเคน 3 ฅนคมล่าไม่ยั้ง
ขอแบ่งการพูดถึง Taken 3 ออกเป็น 2 ช่วงนะครับ ช่วงแรกเป็น Softcore อ่านเบาๆ และช่วงหลังเป็น Hardcore ขอจัดเต็ม 555
+++ Softcore +++
จุดแข็งของหนังชุด Taken คือช่วงต้นเรื่องอันเป็นการปูพื้นบอกเล่าความสัมพันธ์ตัวละครครับ (เพราะมีหนังบู๊น้อยเรื่องทำได้แบบนี้) ซึ่ง 20 นาทีแรกของ Taken 3 ถือเป็นจุดที่ผมรู้สึกโอเคที่สุด ได้เห็นไบรอัน มิลส์ (Liam Neeson) ซื้อของเล่นให้ คิม (Maggie Grace) และถ่านไฟเก่าคุกับอดีตภรรยา (Famke Janssen)
ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด
ส่วนเนื้อหาหลังจากนั้นก็คือไบรอันโดนใส่ความว่าฆ่าคน เขาเลยต้องหนีการตามล่าของตำรวจ พร้อมสืบหาฆาตกรเพื่อเคลียร์ตัวเอง
จริงๆ หนังมีองค์ประกอบดีๆ หลายอย่าง ตั้งแต่การแสดงระดับเทพของป๋า Liam, ตัวละครเดิมๆ มาครบทั้งลูกเมียและก๊วนเพื่อนของไบรอัน และตัวละครใหม่อย่างเจ้าหน้าที่แฟรงค์ที่มาตามล่าไบรอัน ก็ได้ดาราฝีมือดีอย่าง Forest Whitaker มารับบท ซึ่งพี่ท่านก็แสดงได้เจ๋งทีเดียวครับ ผมชอบซีนที่เขาคุยกับคิมเป็นครั้งแรก คือสีหน้าบ่งบอกเลยว่าแกเอะใจอะไรขึ้นมา และด้านพล็อตก็ซับซ้อนไม่น้อยครับ
ถ้าให้ว่าคร่าวๆ แล้ว หนังภาคนี้ดูได้เพลินๆ ครับ แต่อะไรๆ ยังไม่ถึงใจนัก แอ็กชันไม่มาก การสืบก็ไม่เร่งเร้า (ทั้งๆ ที่ “ผู้ตาย” ในภาคนี้น่าจะเป็นปมที่ทำให้ไบรอันระเบิดพล่านยิ่งกว่า 2 ภาคที่แล้ว) ช่วงกลางเรื่องก็อืดช้าพอสมควร และบทสรุปก็ยังไม่สาใจเท่าภาคก่อนๆ
เอาเป็นว่าถ้าใครเป็นแฟนหนังชุดนี้จะตามไปดูป๋า Liam แกบู๊ก็ได้ครับ ขอเพียงไม่คาดหวัง ก็น่าจะโอเคกับภาคนี้อยู่
+++ Hardcore ++++
เอาล่ะ ถัดจากนี้เป็นโซน Hardcore นะครับ มีสปอยล์แน่ๆ และเป็นมุมมองส่วนตัวล้วนๆ อ่านเอาสนุก ไม่ต้องคิดมากนะครับ
… โอเค คือภาคนี้ผมว่าองค์ประกอบมันดีนะครับ ดาราดี พล็อตจริงๆ ก็โอ แต่การนำเสนอมันไม่หนัก ไม่แน่น ไม่เข้มข้น
+ จุดที่ขัดใจเยอะหน่อยคือความฉลาดและเก๋าของไบรอันลดลง ซึ่งสำหรับผมแล้วความเก๋าของป๋าแกถือเป็นไฮไลท์ของหนังชุดนี้ก็ว่าได้ ภาคแรกโชว์เก๋าทั้งการสืบ การหลบ พยายามช่วยลูกผ่านมือถือ มาภาค 2 ก็โชว์เหนือ อาศัยการฟังการสังเกต และแม้พี่แกกำลังจะโดนจับไป แต่ก็ยังเก๋าเกมพอที่จะโทรไปบอกลูกให้หลบได้
ภาคนี้ความเก๋าลดปริมาณลง คือจริงๆ ถ้าหนังให้ไบรอันโชว์เทพปิดไตรภาคก็น่าจะดี อย่างเช่น วางหมากต้อนตำรวจให้ช่วยแกสืบ คือ แม้ดูเผินๆ จะเหมือนแกโดนล่า แต่ที่ไหนได้การตามล่าของตำรวจกลายเป็นการตามเกมที่ไบรอันวางไว้ เพื่อให้ตำรวจตามสืบในจุดที่ควรสืบ อะไรประมาณนี้ มันคงสนุกไปอีกแบบน่ะครับ เพราะหนังแอ็กชันไล่ล่าเคลียร์ข้อหาตัวเองมันก็มีเยอะแล้ว ก็น่าจะลองฉีกแนว โดยเอาจุดแข็งของตัวเองนี่แหละ (ความเก๋าของไบรอัน) มายำเข้ากับสูตรนี้ พลิกลีลาใหม่ไปเลย มันก็น่าจะเจ๋งอยู่
แล้วให้เจ้าหน้าที่แฟรงค์ฉลาดพอกับไบรอัน ขับเคี่ยวไล่กัน (แบบหมอคิมเบิลกับเจอราร์ดใน The Fugitive) จากนั้นก็ให้ตัวร้ายในเรื่องมันเก๋ามาก เก่งมาก วางหมากเก่งพอกัน ก่อนจะขมวดให้ไบรอันกับแฟรงค์หันมาช่วยกันในตอนท้าย ให้ก๊วนเพื่อนไบรอันมาแจม ล้มจอมวายร้ายตัวนี้ให้ได้ มันก็น่าจะมันส์อยู่
+ เจ้าหน้าที่แฟรงค์ตอนแรกดูฉลาดนะครับ แต่บทช่วงท้ายก็ลดความเก๋าลง (บทบาทก็ลดลงเช่นกัน) ซึ่งก็พอเข้าใจนะครับ ถ้าพี่แกฉลาดเกิน เดี๋ยวเรื่องจบเร็ว (และถ้าฉลาดเกินไบรอันยิ่งไม่ได้ใหญ่ 555)
+ แต่อันที่จริงก็พอเข้าใจนะครับ การที่บททำให้พระเอกเก๋าน้อยลงก็เพราะว่า ถ้าพระเอกยังเก๋าแบบไบรอันดั้งเดิมล่ะก็ เรื่องพวกนี้ (การตายของเมียเขา) จะเกิดขึ้นได้ยากมากๆ
เพราะคนอย่างไบรอันนี่ ถ้าเป็นคนเดิมนะครับ แกต้องเช็คประวัติอีตาสตวร์ต (Dougray Scott) สามีใหม่ของเมียเขาอย่างถี่ถ้วน เพราะหมอนี่ไม่ได้จะเป็นแค่สามีใหม่ของเมียเก่าเท่านั้น แต่กำลังจะเป็นพ่อเลี้ยงของลูกสาว ดังนั้นยังไงไบรอันก็ต้องสืบครับ ต้องให้พรรคพวกช่วยกันเช็คตลอดว่าหมอนี่ทำอะไรผิดกฎหมายไหม
ยิ่งจู่ๆ อีตาสตวร์ตเพิ่มเงินประกันชีวิตเมียในช่วงที่กำลังจะเลิกกันเนี่ย มันผิดสังเกตหนักๆ ล่ะครับ
ดังนั้นถ้าไบรอันเก๋าเหมือนเดิม เรื่องก็คงเกิดยาก เลยต้องลดความเก๋าให้เหลือเท่าที่เห็นในหนัง แบบนี้เรื่องค่อยเข้าแก๊บหน่อย
+ “นี่เรื่องส่วนตัวล้วนๆ!” ยังจำคำนี้ได้ ไบรอันจัดการพวกตัวร้ายแต่ละภาคแบบเด็ดขาด ครั้นมาภาคนี้ จริงๆ คนทำนี่ทำเรื่องไม่น่าให้อภัยที่สุด แต่ไม่ได้สังหารมัน… ดีกรีเดือดเหือดไปเยอะ
หรือหนังจะสื่อว่า ไบรอันจะเป็นตาคนแล้ว เลยปล่อยมันทำบุญ ไม่อยากทำอะไรรุนแรง เลยปล่อยไป (ให้มันมีโอกาสกลับมาแก้แค้นเขาเล่นๆ 555)
โดยส่วนตัวแล้วเลยออกจะนิ่งกับภาคนี้มากกว่าที่คิด คือดูเพราะป๋า Liam นี่แหละครับ ดูบูชาดาราคนโปรดเป็นหลัก ก็คงซื้อเก็บให้ครบ แต่ถ้าว่าถึงตัวหนังแล้ว มันยังไม่โดนเท่าไร
คะแนนความชอบ = 6.5/10 ครับ
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Revolt (2017) สงครามจักรกลเอเลี่ยนพิฆาต
1532 0เรื่องนี้ดูไปสักพักก็ชวนให้นึกถึง Edge of Tomorrow ผสม The Bourne Identity ครับ ประมาณว่าตัวเองตื่นมาแล้วเบลอๆ จำอะไรไม่ได้ แล้วก็ต้องมาฝ่านรกเอาตัวรอดจากสารพัดหายนะที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด แรกๆ ผมก็นึกว่ามันจะเน้นไซไฟผสมแอ็กชัน แต่เอาเข้าจริงกลิ่นอายไซไฟยังไม่ชัดเท่าไรครับ และในแง่หนึ่งก็ชวนให้นึกถึงหนังเกรดบีที่ฉากหลังมักเป็นผืนดินผืนทรายโล่งๆ (ระหว่างดูก็นึกถึง Nemesis ขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง) Lee Pace รับบทเป็นพระเอกครับ หลายท่านอาจจำไม่ได้ว่าพี่แกคือโรแนน ตัวร้ายใน Guardian of the Galaxy (ซึ่งก็ไม่แปลกหากจำไม่ได้ เพราะเรื่องนั้นเมคอัพซะ) แล้วอีกบทที่เด่นคือ ธรันดูอิล แห่งไตรภาค The Hobbit
รีวิว Tag (2015) อวสาน…โมเอะ
1798 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ออกตัวก่อนครับว่าผมเป็นคนชอบหนังไซไฟและหนังสไตล์ The Twilight Zone ที่เต็มไปด้วยปริศนา เรื่องลึกลับไร้คำอธิบาย หรือเหตุการณ์แปลกๆ ที่ชวนให้งง ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Resident Evil: Vendetta (2017) ผีชีวะ สงครามแค้นแพร่พันธุ์ไวรัส
2328 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ยอมรับว่าระยะหลังมาเนี่ย หากให้เทียบระหว่าง Resident Evil เวอร์ชั่นหนังกับเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นว่าชอบฉบับไหนมากกว่ากันแล้ว ดูเหมือนว่าคำตอบของผมจะเป็นว่า ผมจะสนุกเพลินกับเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นมากกว่าทุกทีครับ เอาเข้าจริงเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ครับ หลักๆ ก็เป็นการไล่ตามล่าตามล้างความชั่วที่พวกอัมเบรลร่าทำ ในขณะที่เวอร์ชั่นหนังถ้าดูจากเนื้อหาแล้ว ดูจะมีความพยายามใส่อะไรหลายๆ อย่างที่มันสดใหม่กว่า แต่พอมาดูเนื้อในเข้าจริงๆ แล้ว ฉบับหนังที่ดูเหมือนจะใหญ่ กลับขาดความเข้มข้นทั้งที่พยายามใส่เรื่องราวลงไปตั้งเยอะ ไปๆ มาๆ เหมือนจะเป็นการพยายามโชว์ CG เสียมากกว่าจะใส่ใจที่เรื่องราวจริงๆ (และบางภาคเปิดปมมาดีมาก แต่พอเล่าไปชักออกทะเลแฮะ) ส่วนเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นแม้จะเป็นอะไรที่มันเดิมๆ และเดาได้ แต่การนำเสนอออกแนว “น้อยแต่แน่น” มีการโฟกัสทิศทางเรื่องที่ชัดเจน โดยรวมๆ แล้วผลที่ได้ก็คือ “ไม่ต้องพยายามเล่นใหญ่ก็ได้ แต่ออกมาสนุกแบบพอดีคำ” หรืออาจจะเพราะฉบับแอนิเมชั่นไม่ทำให้เราคาดหวังก่อนดูก็ได้ครับ พอดูแล้วเลยไม่ผิดหวัง