รีวิวซีรี่ส์ Marvel’s Iron Fist Season 1

รีวิวซีรี่ส์ Marvel’s Iron Fist Season 1

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด

ตอนดูตัวอย่างก็แอบมีความหวังน่ะนะครับ ดูท่าจะมันส์ แต่ก็แอบเผื่อใจไว้หน่อยๆ เหมือนกัน เพราะดูแนวโน้มแล้วซีรี่ส์ Marvel ขบวนนี้ความเจ๋งความฟินมันค่อยๆ น้อยลงตามลำดับน่ะครับ

(บอกก่อนว่าที่ผมเขียนนี่ อาจดูเป็นการฟุ้งๆ มากกว่าจะเป็นการบอกว่าซีรี่ส์เป็นยังไงน่ะนะครับ และอาจมี “สปอยล์” สำหรับมาตรฐานของบางท่านด้วย ดังนั้นไม่อยากทราบก็ไม่ควรอ่านต่อครับ)

ที่มันส์สุดก็ DareDevil พอมาถึง Jessica Jones ก็ยังดูดีและมีระดับอยู่ แต่พอถึง Luke Cage ก็เริ่มเรื่อยๆ จริงๆ มันมีดีที่องค์ประกอบหลายๆ อย่างครับ แต่การเดินเรื่องและเล่าเรื่องมันยังไม่จับใจและไม่ดันคาแรคเตอร์ของลุคให้เด่นเท่าแมตต์ เมอร์ด็อก หรือเจสสิก้า โจนส์

พอมาถึง Iron Fist ก็เป็นไปตามคาด คือกลายเป็นซีรี่ส์ที่ดูเบาที่สุดในขบวนครับ เริ่มจากเรื่องแอ็กชันก่อนนะครับ อย่างที่บอกว่าแอบหวังเล็กๆ ว่าจะออกมามันส์สะใจ แต่ไปๆ มาๆ ก็ไม่มีอะไรมากครับ ฉากบู๊ก็ไม่ได้เยอะอะไร และในแง่ความสะใจก็ไม่ถึงกับเยอะเช่นกัน

ถ้าว่ากันแบบตรงๆ ผมว่าคิวบู๊ใน DareDevil ดูแน่นและหนักหน่วงทะลวงถึงใจกว่ากันเยอะ และผมว่า Jessica Jones ยังบู๊ได้มีสไตล์มากกว่าด้วยครับ ดังนั้นหากใครคาดหวังคิวบู๊สะใจๆ ก็เผื่อใจไว้หน่อยครับ

แต่พอผมมาดูตัวอย่าง The Defenders แล้วก็พอเข้าใจในจุดนี้เหมือนกันนะ ประมาณว่าผู้สร้างคงเก็บคิวบู๊เด็ดๆ ไว้ลงกับเรื่องนั้นน่ะครับ เลยกั๊กๆ กับเรื่องนี้ ไม่ปล่อยแบบจัดเต็มดังที่คาดไว้ (แต่ก็กลายเป็นการลดความน่าสนใจให้กับซีรี่ส์นี้ไปโดยปริยาย)

ถัดมาเรื่องเนื้อหา พูดตรงๆ ครับว่ามันคือ Arrow เลยแหละ ตัวเอกคือ แดนนี่ แรนด์ (Finn Jones) ลูกคนรวยที่หายตัวไป ก่อนจะกลับมาเพื่อทวงบริษัทของพ่อแม่ตัวเองคืน แล้วก็ต้องเจอกับญาติพี่น้องที่บางคนก็พร้อมจะแทงเขาข้างหลังได้ตลอด (เพื่อฮุบบริษัทไว้เอง)

ไหนจะต้องเจอกับองค์กรที่หมายจะครองเมืองอีก คือมันชวนให้นึกถึง Arrow จริงๆ ครับ และผลลัพธ์ที่ได้คือ Arrow ทำไว้ดีกว่าเยอะ อย่างแอ็กชันนี่ Arrow ปีแรกๆ ทำได้ดุดันสะใจอยู่นะ อีกทั้งพล็อตเรื่องก็น่าติดตาม มีการหักมุมไปมา มีการทิ้งปมให้เราอยากดูต่อ


แต่กับ Iron Fist แล้วหลายอย่างมันแบมาแต่ไกลน่ะครับ อย่างบทแฮโรลด์ (David Wenham) หุ้นส่วนของตระกูลแรนด์ ก็ดูออกตั้งแต่โหงวเฮ้งแล้วว่าพี่แกเป็นคนดีหรือไม่ แต่ซีรี่ส์ก็ใช้เวลาไปไม่น้อยกับการที่แดนนี่ไปไว้ใจตัวละครนี้ หรือการที่แฮโรลด์วางแผนให้แดนนี่ไว้ใจ คือมันเป็นมุกที่เดิมมากๆ จนง่ายต่อการเดา และมันไม่ใช่ปมที่ชวนติดตามแต่อย่างใด

จริงๆ ผมคิดนะ เคยคิดว่าหนังจะมีอะไรใหม่ๆ เพราะด้วยวัตถุดิบน่ะมันมิกซ์ได้อยู่แล้ว อย่างเช่นถ้าบทเขียนให้แดนนี่ต้องใช้สมองชิงบริษัทกับพวกตัวโกง ประมาณว่าวางหมากแก้เกมกัน สู้กันในบริษัทด้วยชั้นเชิงธุรกิจ แล้วอีกด้านก็สู้กันด้วยกำลัง ประมาณว่าให้พวกตัวโกงใช้ก๊กแก๊งชั่วๆ มาทำร้ายชาวเมืองหรือคนอื่นๆ ที่อยากช่วยแดนนี่ แล้วแดนนี่ก็ต้องมาปกป้อง อะไรประมาณนี้

มันคงสนุกน่ะครับ ถ้าหากแดนนี่ต้องรับศึกสองด้าน ในบริษัทก็สู้ด้วยสมองและประลองด้วยกลยุทธ์ ตอนแรกเขาอาจต้องสู้คนเดียว เลยต้องหาคนมาช่วย ส่วนนอกบริษัทก็ซัดกันด้วยหมัด หรือไม่ก็สู้กันด้วยแผนการณ์ แล้วก็มีพล็อตรองว่าด้วยปริศนาความตายของพ่อแม่แดนนี่ มันคงแน่นขึ้นเยอะน่ะ

และยังมีประเด็น “ศาสตร์และปรัชญาตะวันออก” อีก เพราะแดนนี่ไปได้วิชามาจากตะวันออกใช้ไหมครับ มันก็จะมีปรัชญาและวิธีการมองโลกบนวิถีแห่งธรรมชาติให้เอามาใช้ได้อีก ซึ่งในซีรี่ส์ก็มีพูดถึงบ้างเป็นฉากๆ ไป แต่มันออกแนว “เอา Quote มาตัดแปะ” มากกว่าจะเป็นการบอกเล่าแบบเข้าถึงน่ะครับ


นี่ถ้ามีการผนวกปรัชญาตะวันออกมาใช้ในเชิงธุรกิจเพื่อรบกับแผนของพวกตัวโกง มันคงน่าสนใจขึ้นอีกเยอะน่ะครับ หรือจะเอาปมที่ “แดนนี่ใช้พลัง Iron FIst ได้ไม่เต็มที่” มาผูกกับประเด็นนี้ด้วยก็ได้

ประมาณว่าแดนนี่ยังไม่บรรลุถึงสุดยอดวิชา เพราะยังเข้าไม่ถึงแก่นอันแท้จริง แต่พอเขาได้ผ่านศึกในซีซั่นนี้ ได้ลุถึงแก่นแท้ในหลายๆ ด้านจากการรบแต่ละครั้ง ในที่สุดเขาก็จะเข้าถึงเคล็ดวิชา และหมัดเหล็กอรหันต์ก็สามารถสำแดงเดชได้ในที่สุด (เหมือนใช้ปรัชญาและจิตใจเป็นกุญแจไขทะลวงจุดหยิมต๊กอะไรเทือกนั้น)

ยอมรับเลยครับว่าที่เขียนนี่ออกแนวฟุ้ง แต่ก็เพราะรู้สึกว่าจริงๆ องค์ประกอบของ Iron Fist มันมีดีมากกว่าที่เราเห็น แต่ผลที่ได้กลับออกแนว “โคลนนิ่งของซีรี่ส์ Arrow” ที่ทำได้ไม่อร่อยเท่า เหมือนทำเพียงเพื่อแค่แนะนำ “แดนนี่ แรนด์” หรือ Iron Fist ให้เรารู้จักเท่านั้น แต่ไม่สามารถดันตัวละครนี้ให้น่าจดจำเท่า 3 ตัวละครแรกจากซีรี่ส์ขบวนนี้ได้

แต่ดีใจครับที่ได้เจอมาดามเกา (Wai Ching Ho) อีกรอบ เธอเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าสนใจที่สุดสำหรับซีรี่ส์นี้เลยก็ว่าได้ และ Jessica Henwick ก็น่ารักดีครับ ดูมีเสน่ห์ไม่น้อย แม้บทของเธอจะลงสูตรสำเร็จมากๆ ก็เถอะ

โดยรวมแล้วก็ดูได้เรื่อยๆ ครับ ขอเพียงไม่คาดหวังมากเกินไปก็น่าจะโอเคครับ
คะแนนความชอบ 6.5/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน

ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

Similar Videos

รีวิวซีรี่ส์ Westworld Season 1 (2016)

1623 0

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด พี่น้อง Nolan นี่ดูจะขยันทำหนังและซีรี่ส์แนวสำรวจจิตใจคนจริงๆ ครับ ไม่ว่าพล็อตมันจะเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็เถอะ แต่จนแล้วจนรอดพวกพี่เขาก็จะสามารถหาเรื่อง หาแง่ หามุมมาสำรวจจิตใจคนจนได้ ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

รีวิว The LEGO Batman Movie (2017) เดอะ เลโก้ แบทแมน มูฟวี่

2551 0

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ในฐานะที่ผมเป็นติ่งพี่แบทมาตั้งแต่สมัยเพิ่งรู้จักวิธีใส่วีดีโอเข้าเครื่องเล่น ก็ขอจำกัดความเลยว่าหนังเรื่องนี้มันทำให้ผม “ขำจนต้องร้องขอชีวิต!!” เล่นมุกเกี่ยวกับแบทแมนได้สุดยอดเหลือจะเอ่ยเลยเชียว ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

รีวิว Resident Evil: Vendetta (2017) ผีชีวะ สงครามแค้นแพร่พันธุ์ไวรัส

2278 0

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ยอมรับว่าระยะหลังมาเนี่ย หากให้เทียบระหว่าง Resident Evil เวอร์ชั่นหนังกับเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นว่าชอบฉบับไหนมากกว่ากันแล้ว ดูเหมือนว่าคำตอบของผมจะเป็นว่า ผมจะสนุกเพลินกับเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นมากกว่าทุกทีครับ เอาเข้าจริงเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ครับ หลักๆ ก็เป็นการไล่ตามล่าตามล้างความชั่วที่พวกอัมเบรลร่าทำ ในขณะที่เวอร์ชั่นหนังถ้าดูจากเนื้อหาแล้ว ดูจะมีความพยายามใส่อะไรหลายๆ อย่างที่มันสดใหม่กว่า แต่พอมาดูเนื้อในเข้าจริงๆ แล้ว ฉบับหนังที่ดูเหมือนจะใหญ่ กลับขาดความเข้มข้นทั้งที่พยายามใส่เรื่องราวลงไปตั้งเยอะ ไปๆ มาๆ เหมือนจะเป็นการพยายามโชว์ CG เสียมากกว่าจะใส่ใจที่เรื่องราวจริงๆ (และบางภาคเปิดปมมาดีมาก แต่พอเล่าไปชักออกทะเลแฮะ) ส่วนเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นแม้จะเป็นอะไรที่มันเดิมๆ และเดาได้ แต่การนำเสนอออกแนว “น้อยแต่แน่น” มีการโฟกัสทิศทางเรื่องที่ชัดเจน โดยรวมๆ แล้วผลที่ได้ก็คือ “ไม่ต้องพยายามเล่นใหญ่ก็ได้ แต่ออกมาสนุกแบบพอดีคำ” หรืออาจจะเพราะฉบับแอนิเมชั่นไม่ทำให้เราคาดหวังก่อนดูก็ได้ครับ พอดูแล้วเลยไม่ผิดหวัง