รีวิว Wild Card (2015) มือฆ่าเอโพธิ์ดำ

Wild Card ไม่ใช่หนังแอ็กชันแบบที่หลายๆ คนคิดครับ คือฉากแอ็กชันต่อยตีมันก็มีครับ แต่หนังไม่เน้นในจุดนั้นสักเท่าไร ส่วนมากจะเล่าไปในทางดราม่ามากกว่า
ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด
เรื่องราวของนิค ไวลด์ (Jason Statham) บอดี้การ์ดระดับพระกาฬที่ต้องเจอกับวันดวงแตก เจองานเข้าหลายงานพร้อมกัน ตั้งแต่รับงานเป็นบอดี้การ์ดให้นักพนันหน้าละอ่อน (Michael Angarano), ช่วยเพื่อน (Dominik García-Lorido) เอาคืนมาเฟียตัวร้าย (Milo Ventimiglia) ไหนจะต้องรับมือกับความโลภที่เกิดในใจเขาเสมอ ยามที่เขาเป็นฝ่ายเล่นไพ่ชนะ
จริงๆ หนังสามารถตามรอยเท้าหนังบู๊ดีๆ เมื่อปีกลายอย่าง John Wick และ The Equalizer ได้ เพราะพล็อตก็ว่าด้วยตัวเอกเทพๆ ที่ต้องเจอกับผู้ร้ายระดับเจ้าพ่อ และตัวนิคเองก็มีฝีมือเจ๋ง สามารถใช้สรรพสิ่งรอบตัวเป็นอาวุธสังหาร ตั้งแต่บัตรเครดิตยันช้อนกินข้าว
แต่หนังเลือกจะเดินเรื่องแบบเน้นดราม่า ซึ่งดราม่าที่ว่าก็ไม่ถึงกับจับใจนัก เหมือนเล่าไปเรื่อยๆ ไม่ได้เร้าหรือทำให้เราอินอะไรมากมาย (“หมาตาย” ของนาย John Wick ยังทำให้เราอินได้มากกว่า) เลยทำให้หนังมีความอืดช้าในหลายช่วง ทั้งที่ประเด็นที่จับมาถือว่าน่าสนใจ ไม่ว่าจะเรื่องความโลภบนโต๊ะพนันของนิค (ที่เชื่อว่าหลายคนก็คงเป็น หากไปเล่นแล้วเป็นฝ่ายได้ล่ะก็ เราจะอยากเล่นอีก ถ้าเล่นเสียเราก็อยากเอาคืน สุดท้ายเจ้ามือก็กินเรียบ) หรืออารมณ์อยากผจญภัยของไซรัส (Angarano) ที่เขาประสบความสำเร็จมาจากโลกธุรกิจ เลยอยากมาผาดโผนในโลกการพนันบ้าง โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า 2 โลกนี้มันมีจุดที่ต่างกันอยู่มาก (แม้จะเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ เหมือนกันก็เถอะ)
จุดน่าสนใจของหนังก็คงอยู่ที่การใช้สรรพวัตถุรอบตัวของนิคในการซัดผู้ร้าย มันก็เท่ห์ดีครับ แต่ฉากพวกนี้มีไม่มากเท่าไร และถ้าเทียบกับความเท่ห์ลื่นของฉากบู๊ในหนัง 2 เรื่องที่ผมพูดถึงแล้ว ความเร้าใจตื่นตามันยังไม่ขนาดนั้น
ผมพอเข้าใจอยู่เหมือนกันนะครับว่าทำไมหนังถึงเน้นดราม่า เพราะบทหนังน่ะเขียนโดย William Goldman มือเขียนบทระดับออสการ์จาก All the President’s Men และ Butch Cassidy and the Sundance Kid ไหนจะบทหนังเยี่ยมเรื่องอื่นๆ อย่าง Marathon Man, A Bridge Too Far และ Misery
และนี่นับเป็นงานเขียนบทเรื่องแรกในรอบ 11 ปีของเขา (เรื่องล่าสุดที่เขียนคือ Dreamcatcher ที่ดัดแปลงจากงานของ Stephen King) ซึ่งบทหนังเรื่องนี้ก็ดัดแปลง รีเมคมาจากหนังเรื่อง Heat (คนละเรื่องกับ Heat ของ Michael Mann นะครับ อันนี้คือ Heat ปี 1986 ที่ Burt Reynolds นำแสดง) ซึ่งจะว่าไปเรื่องนั้นก็ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับน่าจดจำ และถ้าให้เทียบกันแล้ว ผมว่าบทอันใหม่ที่ถูกนำมาเกลาจนเป็นหนังเรื่อง Wild Card นี้ก็ดูจะมีจุดน่าสนใจมากกว่า
หนังกำกับโดย Simon West (Con Air และ The Expendables 2) ซึ่งกับผลงานเรื่องนี้ อาจเพราะปริมาณเนื้อความในส่วนดราม่ามันค่อนข้างเยอะ ผลที่ได้ก็เลยอาจยังไม่ลงตัวเต็มที่ แอ็กชันพอไหว แต่ด้านเนื้อหาที่ดูจะน่าสนใจ ก็ยังเดินเรื่องได้ไม่น่าสนใจเท่าที่ควร
น่าเสียดายเหมือนกันครับ กล่าวกันว่าหนังเรื่องนี้ Statham และ West ช่วยกันปั้นถึง 5 ปี แต่ผลที่ได้ก็ยังไม่เข้าเป้านัก
อันที่จริงมีอยู่ช่วงหนึ่ง เขาจะให้ Brian De Palma (Mission: Impossible) มากำกับ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าพี่ท่านได้มากำกับจริงๆ หนังจะออกมาเป็นแบบไหน
เอาเป็นว่าถ้าชอบเฮีย Jason ก็ตามไปดูได้ครับ เขายังเท่ห์อยู่ และจริงๆ ก็มีฉากเข้าท่าๆ อยู่หลายอัน เช่น ฉากที่พี่แกเคลียร์ตัวเองตอนโดนเจ้าพ่อตัวร้ายหาเรื่องใส่ความ เพียงแต่ก่อนรับชมอย่าคาดหวังมากนักก็แล้วกันครับ
คะแนนความชอบ 6/10 ครับ
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Everything, Everything (2017) ทุกสิ่ง ทุกๆ สิ่ง คือเธอ
2032 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ผมนั้นชอบดูหนังโรแมนติกครับ และรู้สึกได้ว่าทุกวันนี้มีหนังรักเข้าโรงน้อยลงเรื่อยๆ อาจเพราะกระแสที่เปลี่ยนไป หรือไม่ก็ถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทำให้ส่วนใหญ่หนังรักแบบเดิมๆ ก็เหลือให้ดูแค่ที่ Hallmark เป็นหลัก ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิวซีรี่ส์ NCIS: Naval Criminal Investigative Service ปี 1 – 10 (2003 – 2013)
1862 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด เล่าแบบเหมาๆ อีกเรื่องครับ กับซีรี่ส์แนวสืบสวนที่ผมเพิ่งมาติดแบบจริงๆ จังๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง ผมนั้นดู NCIS ปี 1 ครั้งแรกเมื่อประมาณเกือบ 10 ปีก่อน ตอนนั้นจำได้ว่าพอดูจบปีแล้วก็ไม่ถึงกับติดครับ รู้สึกว่าดูได้เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ชอบเป็นพิเศษอะไร และพอดีช่วงนั้นผมกำลังเพลินกับ CSI เลยครับ (ตอนนั้นน่าจะกำลังดูถึงปี 5) ซึ่ง ณ เวลานั้นผมยังรู้สึกว่า CSI สนุก อร่อยเพลิน และมีลูกเล่นครบรสกว่ากันเยอะ ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Pitch Perfect 2 (2015) ชมรมเสียงใส ถือไมค์ตามฝัน 2
1869 0ภาคแรกทำผมประทับใจไว้เยอะครับ ดังนั้นก่อนดู Pitch Perfect 2 ผมก็แอบคาดหวังเป็นธรรมดา ไหนจะโกยเงินถล่มทลายซะขนาดนั้น (แต่โดยส่วนตัวคิดว่าที่ภาคนี้ทำเงินอย่างใหญ่ ก็เพราะบุญเก่าที่ภาคแรกสะสมไว้ส่วนหนึ่ง) ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ภาคนี้เล่าถึงเหตุการณ์ 3 ปีให้หลัง เมื่อทีมเบลล่าเจอวิกฤตการณ์สุดอับอายแบบไม่คาดฝัน ทำให้อนาคตของทีมแขวนอยู่บนเส้นด้ายครับ ประมาณว่าถ้าทีมไม่สามารถกู้ชื่อได้ล่ะก็ อนาคตของชาวเบลล่าก็อาจดับกันไปเลย และการกู้ชื่อที่ทุกคนต้องร่วมมือกันทำให้ได้ คือการคว้าชัยชนะในงานแข่งขันอะแคปเปลลาระดับโลก ซึ่งก็แน่นอนล่ะครับว่ามันไม่ง่าย ต้องอาศัยทั้งพลังกายและพลังใจอย่างมหาศาลทีเดียว ภาคนี้ก็ยังดูสนุกอยู่ครับ แต่ผมก็ยังชอบภาคแรกมากกว่าอยู่ดี และสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกระหว่างดูก็คือ “ดูแล้วได้อารมณ์เหมือนตอนดู Iron Man 2 เลยแฮะ” Iron Man 2 เป็นหนังที่ดูสนุกครับ แต่หนังมีรายละเอียดเยอะมาก และผลที่ได้คือพอมันรายละเอียดเยอะ หนังก็จับได้ไม่หมด