รีวิว Dawn of the Planet of the Apes (2014) รุ่งอรุณแห่งอาณาจักรพิภพวานร

Dawn of the Planet of the Apes เป็นภาคต่อที่ไม่ผิดหวังเลยครับ เรื่องราวอาจไม่มีอะไรเกินคาดเดา ประมาณว่าเรารู้ตั้งแต่ดูตัวอย่างแล้วล่ะว่าเหล่าวานรและมนุษย์ต้องมีการปะทะกันแน่นอน และบทลงเอยคงหนีไม่พ้นหายนะอีกเช่นเคย
ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด
แต่จุดที่โดนใจคือการเดินเรื่องมันมีพลังมาก มันชวนให้ติดตามตลอด แม้เราจะเดาบทสรุปได้ แต่ใจเราลึกๆ ก็ภาวนาน่ะครับว่าไม่อยากให้มีการตีกันเลย อยากให้มนุษย์กับวานรอยู่กันดีๆ หรืออย่างน้อยจะต่างคนต่างอยู่ก็ได้ แต่ไม่อยากให้ต้องมาปะทะกันเลยจริงๆ
ทว่าใจเราก็รู้ครับ ยังไงเรื่องเลวร้ายก็ต้องเกิดขึ้น
ผมว่าหนังสะท้อนความจริงของโลกได้ไม่เลวเลยครับ หนังไม่ได้มาแนวโลกสวยว่าวานรกับคนอยู่กันได้อย่างผาสุก แต่หนังสะท้อนให้เห็นว่าทั้งในสงคมมนุษย์และสังคมวานร ต่างก็มีประชากรหลายแบบปะปนอยู่รวมกัน
บางคนและบางวานร ก็อยากอยู่บนโลกแบบสงบๆ อยากอยู่ร่วมกันให้ได้ อยากเดินบนโลกแบบสบายใจ ไม่ต้องมากลัวว่าคนจะทำวานรหรือวานรจะโจมตีคน หรือไม่ก็เชื่อว่า มันจะต้องมีสักวันที่คนและวานรอยู่ร่วมกันได้
แต่กับคนและวานรอีกบางส่วน ยังไงก็ไม่ไว้ใจเผ่าพันธุ์อื่น อย่างวานรที่เจ็บเพราะโดนมนุษย์ทำร้ายมาก็มี และพวกมันก็ฝังใจ ยังไงก็ไม่ให้อภัยและไม่คิดจะญาติดีกับมนุษย์ ส่วนมนุษย์เองก็กลัววานรบ้าง หรือไม่ก็เสียญาติไปเพราะวานรบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าคนกลุ่มนี้ ให้ตายยังไงก็ไม่มีวันเชื่อว่าวานรจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างสันติสุข
หนังขับเคลื่อนด้วยพลังเหล่านี้ครับ พลังแห่งมิติของสังคมโลก (ทั้งสังคมคนและวานร) ที่แต่ละส่วนของเรื่องราวมันรวมไว้ซึ่งแง่มุมทางจิตวิทยา, การเมือง และปรัชญา
ผมไม่ได้บอกว่ามันลึกซึ้งนะครับ แต่ผมมองว่ามันจริง
และ “ความจริง” บางครั้งมันก็ไม่ได้ “ลึกซึ้ง”
ในแง่ Effect นี่หายห่วงครับ ล้วนน่าจดจำ ฉากป่าเขาที่วานรอยู่ หรือฉากเมืองซากปรักหักพังล้วน ได้อารมณ์ และสำหรับการเล่าเรื่อง ถือว่าผู้กำกับ Matt Reeves แกเอาอยู่ครับ แกคุมอารมณ์ได้อย่างดี อย่างบางฉากที่จริงๆ มันอาจจะออกมาสยดสยอง แต่เขาก็สามารถคุมให้มันอยู่ในโทนพอเหมาะ ไม่ได้รุนแรงหนักจนหลายคนรับไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันมันก็สัมผัสได้ถึงความรุนแรงอยู่
โดยส่วนตัวผมว่า Jason Clarke เล่นหนังดีครับ หน้าตาอาจไม่ได้ดีเด่อะไร แต่แกเล่นได้ทั้งบทร้ายและดี ซึ่งช่วงสองสามปีนี้พี่แกก็โผล่ ในหนังดังๆ เยอะมาก (Everest, Terminator Genisys, White House Down, The Great Gatsby และ Zero Dark Thirty) และความเป็นเขาก็ทำให้หนังดูน่าสนใจในหลายวาระ
ส่วนดาราสมทบมืออาชีพอย่าง Gary Oldman ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แม้โดยรวมแล้วบทของเขาจะตามสูตรมากๆ ก็ตาม แต่เพราะลีลาเล่นจริง อารมณ์จริงของเขา ก็ช่วยทำให้ดีกรีความกดดันมันดูจริงครับ และมันทำให้เราเห็นเลยว่าเมื่อคนกลัวอะไรมากๆ แล้ว แม้ท่าทางจะดูมีสติแค่ไหน แต่การกระทำก็ยังอาจจะขาดสติและการไตร่ตรองได้เสมอ
และที่ลืมไม่ได้คือ Andy Serkis ที่สวมบทซีซาร์ครับ การออกลีลาหน้าตาของเขามันได้อารมณ์เสมอ ผมว่ามันเป็นศาสตร์นะ และไม่ใช่ศาสตร์ที่ใครที่ไหนจะ ทำให้ออกมาดีได้ง่ายๆ ผมเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว Serkis น่าจะได้รับการพูดถึง พอๆ กับ Lon Chaney แน่ๆ ครับ (พันหน้าเหมือนกัน แต่มาในคนละยุค)
รอดูภาคต่อได้เลยครับ น่าจะมาปี 2017 เพราะตัวหนังทำรายได้ทั่วโลกกว่า $700 ล้านขนาดนี้ (ทุนสร้างประมาณ $170 ล้านครับ กำไรงามพอตัว) ไม่สร้างต่อก็แปลกล่ะ
คะแนนความชอบ 8/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว The Magnificent Seven (2016) 7 สิงห์แดนเสือ
2846 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ถือเป็นหนังที่สมหวังเข้าเป้าอีกเรื่องหนึ่งของปีครับ คือคาดหวังในระดับหนึ่ง ไม่ได้หวังว่ามันจะดีมากหรือสุดยอด ขอเพียงให้ออกมามันส์และเดินเรื่องได้ไม่น่าเบื่อ แค่นี้ก็โอเคแล้ว ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว The Theory of Everything (2014) ทฤษฎีรักนิรันดร
2430 0ออสการ์ที่ผ่านมาผมก็ลุ้นให้ Eddie Redmayne ได้ออสการ์นำชาย พอๆ กับที่ผมลุ้นให้ J.K. Simmons ได้ออสการ์สมทบชายนั่นแหละครับ ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด The Theory of Everything ถือเป็นหนังดราม่า+โรมานซ์+ชีวประวัติที่ทำออกมาได้สวยงามครับ ไม่ว่าจะด้านภาพ ด้านเรื่องราว และแง่คิดที่หยิบมาจากชีวิตจริงของคนจริงๆ ที่ต้องเผชิญอะไรมากมายจากโรคร้ายที่รุมเร้าร่างกาย ***เอาล่ะครับ เดี๋ยวด้านล่างนี่มีสปอยล์แน่นอน ดังนั้นถ้าไม่อยากทราบข้ามไปได้เลยนะครับ เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้ดีน่าดูครับผม 1. Redmayne สุดยอดจริงๆ ครับ ข้อดีที่น่าจดจำของเขาไม่ได้แค่ว่าเขาหน้าคล้ายสตีเฟน ฮอว์คิงเท่านั้น แต่มันคือการแสดงที่ถ่ายทอดอาการกล้ามเนื้อเป็นอัมพาตทีละส่วนได้อย่างสมจริงสุดๆ หลายฉากทำเอาขนลุกครับ เพราะเหมือนจริงมากจนรู้สึกสงสารและบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมาจับใจ (ฉากที่น้ำตาเริ่มมาก็คือ “เจนถือกระดานตัวอักษร” น่ะครับ กรีดแทงใจมากๆ)
รีวิว The Purge: Election Year (2016) คืนอำมหิต: ปีเลือกตั้งโหด
1857 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด หนังชุด The Purge ดูเล่นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ครับ ภาคแรกเหตุเกิดในบ้าน ภาค 2 เหตุเกิดพล่านเมือง และในภาคนี้ประเด็นที่เอามาเล่นก็ถือว่าระดับประเทศทีเดียว แต่ถ้าพูดถึงความใหญ่ของเหตุการณ์แล้ว ก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าภาค 2 ครับ พล่านเมืองพอกัน ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด