รีวิว Minions (2015) มินเนี่ยน

รีวิว Minions (2015) มินเนี่ยน

b001

โดยทั่วไปแล้ว หนังที่เอาตัวละครขโมยซีนเด่นๆ ประจำเรื่องมาทำเป็นภาคแยกนั้น ดีกรีความอร่อยมักลดปริมาณลง ส่วนหนึ่งอาจเพราะสัดส่วนความพอดีในการปรากฏตัวของตัวละครนั้นๆ น่ะครับ

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด

ประมาณว่าที่ก่อนหน้านี้มันเด่น ก็เพราะมันโผล่น้อย แต่ออกมาทีไรก็สอยหมัดฮุคใส่คนดูทุกที แต่ละฉากที่ออกมาก็จะเน้นให้ตัดกับอารมณ์หรือสถานการณ์ของเหล่าตัวละครหลัก เช่น ตัวเอกกำลังจริงจังอยู่ แต่พวกนี้มาบ้าตัดอารมณ์ซะ แค่นี้ก็ขโมยซีนได้สบาย

แต่พอมาโผล่แบบเต็มตัวแล้ว อารมณ์ขโมยซีนมันจะหายไป เพราะเราจะได้เห็นความบ้าของพวกนั้นในทุกฉาก ไม่มีอารมณ์ปกติมาตัดรสสักเท่าไร ดังนั้นความเด่นที่เคยมากก็อาจลดระดับลงไปบ้างสำหรับใครหลายๆ คน

เหมือนดูภาพพื้นขาวที่มีจุดเหลืองบนนั้นน่ะครับ เราจะเห็นสีขาวเป็นพื้น แล้วก็เห็นจุดเหลืองเด่นขึ้นมา

แต่กับหนังที่ทั้งพื้นและจุดเป็นเหลืองทั้งหมด เราก็อาจไม่รู้สึกว่ามีอะไรเด่นเป็นพิเศษ ทั้งที่จุดเหลืองมันมีขนาด จำนวน และสีเท่ากับที่อยูในพื้นขาวนั่นแหละ

b002
กระนั้นผมก็เชื่อว่าอีกหลายคนที่ดูก็ยังคงสนุกเพลินอยู่ เพราะตั้งใจเข้ามาเสพความเกรียนของพวกมินเนี่ยนตั้งแต่ต้นแล้ว (ว่าง่ายๆ คือเข้ามาเพื่อดูจุดเหลืองเต็มจอนั่นเอง 555)

ที่ร่ายมายาวนี่ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างไรนะครับ แค่นึกได้หลังดู Minions จบเท่านั้นเอง

เรื่องราวในภาคแยกนี้ก็เป็นการจับเอาเจ้าพวกมินเนี่ยนเกรียนเหลืองน่ารักมาแสดงนำครับ เล่าเริ่มย้อนไปตั้งแต่พวกมันเป็นอะมีบา (555) ก่อนจะขึ้นบกมาตามหาเจ้านายตัวร้าย แต่พวกมันส่วนใหญ่ก็เข้าอีหรอบ “เข้าแก๊งไหน หัวหน้าตายหมด” จนกระทั่งมันมาเจอกับยอดวายร้ายสาวอย่างสการ์เล็ตต์ โอเวอร์คิลล์ พวกมันก็เลยพร้อมยอมทำตามแผนร้ายของนาง… แต่ก็อย่างที่เดาๆ ได้ครับว่าเจ้าพวกมินเนี่ยนเนี่ยเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่ทำเรื่องวุ่นน่ะ

ครับ อย่างที่บอกว่าคนดูหนังเรื่องนี้อาจมีทั้งที่ดูแล้วรู้สึกว่าพวกมินเนี่ยนไม่แซ่บเหมือนสมัยที่มันขโมยซีน และบางคนก็ชอบมากๆ เพราะได้เห็นพวกมันในทุกฉากทุกตอน ส่วนผมนั้นก็อยู่ตรงกลางครับ คือดูแล้วชอบนะ แม้มันจะไม่เด็ดเท่า Despicable Me แต่มันก็สนุกเพลินฮาดี เจ้าพวกมินเนี่ยนนี่ยังไงก็น่ารักครับ แม้จะฟังมันไม่ค่อยรู้เรื่องก็เถอะ แต่ยังไงก็พร้อมจะสนุกไปกับพวกมันอยู่ดี

b005
โดยรวมแล้วผมเพลินกับหนังครับ สนุกดี มีอะไรให้ขำได้เรื่อยๆ และตอนไคลแม็กซ์ก็ทำออกมาได้สนุกไม่เลว มีโมเมนท์ซึ้งๆ แทรกลงไปบ้างตามที่คาด แต่ที่ออกจะผิดคาดคือบทบาทของสการ์เล็ตต์ที่ไม่ถึงกับเด่นมากนัก เรียกว่าโดนพวกมินเนี่ยนกลืนความเด่นไปเยอะเหมือนกัน แต่ก็เดาได้ว่าทีมงานคงตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นล่ะครับ (เพื่อตอกย้ำว่าไม่มีเจ้านายรายไหนดีเท่า “กรู” อีกแล้ว)

เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขดีครับ ดูเพลินๆ แม้มันจะไม่ได้สุดยอด แต่มันก็สนุก ระหว่างดูนี่นึกถึงลูกตลอด เพราะเจ้าพวกมินเนี่ยนก็เหมือนเด็กนั่นแหละครับ ป่วนๆ งุ้งงิ้งๆ แต่ก็ทำอะไรตรงๆ ตามที่ใจคิด ถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์ดีครับ (แม้จะมีเกรียนไปบ้างในบางช่วงก็ตาม 5555)

สรุปว่าถ้าอยากเสพความบันเทิงเพลินๆ ก็จัดได้เลยครับ ดูแล้วผมเชื่อว่าหลายคนจะอยากเอา Despicable Me มาดูอีกสักรอบแน่ๆ
คะแนนความชอบ 7/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
b003

ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

Similar Videos

รีวิว The Diabolical (2015) บ้านปีศาจ

1926 0

ปีนี้รู้สึกเลยครับว่าตัวเองดูหนังบ้านผีสิงบ่อยมาก ก็ไม่รู้ว่าเขาขยันสร้างกันหรือจริงๆ มันก็มีบ่อยๆ เป็นปกติอยู่แล้ว แต่ผมแค่มีโอกาสได้ดูบ่อยขึ้นในปีนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะนะครับ ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

รีวิว Mr. Peabody & Sherman (2014) ผจญภัยท่องเวลากับนายพีบอดี้และเชอร์แมน

2330 0

Mr. Peabody & Sherman คือหนังการ์ตูนดูเพลินเจริญจิตอีกเรื่องครับ ว่าด้วยมิสเตอร์พีบอดี้ คุณหมาอัจฉริยะที่รับเลี้ยงหนูน้อยเชอร์แมนเอาไว้ แล้วก็เลี้ยงดูสอนสั่งให้เขาเป็นคนดี พร้อมทั้งพาเชอร์แมนท่องเที่ยวข้ามกาลเวลาเพื่อเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตและประวัติศาสตร์ต่างๆ ของมนุษยชาติ ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

รีวิว Liberal Arts (2012) ติวรัก วิชาหัวใจ (แบบสปอยล์ ตอนที่ 1)

2085 0

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด (เอาล่ะครับ สปอยล์ สปอยล์ สปอยล์ พี่น้องท่านใดไม่อยากทราบ หยุดอ่านบัดเดี๋ยวนี้ครับ ไปหาหนังดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน ^_^) คอนเซปต์ใหญ่อย่างหนึ่งของเรื่องนี้ คือมันเหมือนทำให้คนอ่านหนังสือได้ทบทวนอะไรบางอย่างน่ะครับ นักอ่านหลายคนหรือคนที่เรียนสูงๆ รู้ (ในตำราหริอวิชาการ) เยอะๆ อาจเคยมีห้วงอารมณ์หงุดหงิดโลก วิพากษ์สิ่งต่างๆ หรือไม่ก็ดูถูกหนังสือ หนัง หรือผลงานศิลปะบางอันว่าห่วย (โดยเฉพาะงานตลาดๆ) โดยเรามีธงมีหลักการชัดเจนในใจ พร้อมจะสนับสนุนเหตุผลที่เราไม่ชอบสิ่งนั้นๆ แต่บางครั้งพฤติกรรมแบบนี้ก็ทำให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตน้อยลง เรารู้เยอะ แต่เราเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็นมากน้อยแค่ไหน? ถ้าเราเข้าใจจริงๆ ใยเราถึงหงุดหงิดมากกว่าจะปล่อยวาง? มากกว่าจะบอกกับตัวเองว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง”? เรารู้เยอะ แต่เรากำลังถูกความรู้เหล่านั้นคุมขังจำกัดอะไรบางอย่างในตัวเราหรือไม่? ผมเป็นคนชอบอ่านครับ และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในบางวาระเราถูกชุดความคิดบางอย่าง (ที่ได้จากการอ่าน,