รีวิว All of My Heart: Inn Love (2017)

https://www.youtube.com/watch?v=n8V5AcuL44Q
All of My Heart ภาคแรกเป็นเรื่องของชายหนุ่มหญิงสาวที่จำต้องมาแบ่งกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังเดียวกัน จากตอนแรกก็ออกแนวคู่กัดคนละขั้ว แต่พอเวลาผ่านไปหัวใจพวกเขาก็เริ่มสะกิดกันตามสูตรครับ
มาภาคนี้ ไบรอัน (Brennan Elliott) และเจนนี่ (Lacey Chabert) ก็กลายมาเป็นคนรักกันเรียบร้อย และงานที่พวกเขากำลังเตรียมกันอยู่ก็คือเปิดที่พัก Emily’s Country Inn ของพวกเขาในสไตล์ Bed and Breakfast
จริงๆ ทุกอย่างก็ดูราบรื่นดีครับ การเตรียมงานเตรียมเปิดโรงแรมเล็กๆ ของพวกเขาจัดว่าไปได้สวย เตรียมโน่นเตรียมนี่ใกล้เสร็จแล้ว เช่นเดียวกับสายสัมพันธ์ของเขาทั้งสองที่ยังคงงอกงามอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างน่าจะไปได้ดี…
แต่แล้วก็เกิดพายุลูกใหญ่พัดมาในเมืองครับ ส่งผลให้โรงแรมของพวกเขาเสียหายหนัก ซึ่งการจะปรับปรุงซ่อมแซมน่ะไม่เท่าไรครับ แต่ปัญหาหนักคือ “ทุน” ที่ร่อยหรอลงทุกขณะ
สุดท้ายไบรอันก็ต้องกลับไปทำงานสายเดิมที่วอลสตรีทเพื่อหาทางรวมทุนก้อนใหม่มาช่วยโรงแรม ส่วนเจนนี่ก็ต้องเตรียมงานด้านอื่นๆ เพื่อให้ทุกอย่างเสร็จทันกำหนด… และนั่นล่ะครับคือโจทย์ที่คู่รักคู่นี้ต้องเผชิญร่วมกันในหนนี้
ว่ากันถึงตัวหนังก่อนนะครับ ความสนุกลื่นไหลของภาคนี้อาจไม่มากเท่าภาคก่อนที่อะไรหลายอย่างดูจะลงตัวกว่า แต่ก็ยังดีครับที่ 2 ดารานำยังคงใช้เสน่ห์ประจำตัวของพวกเขามาสร้างความน่าติดตามให้กับหนังได้ในระดับหนึ่ง
จริงๆ พล็อตภาคนี้มีความน่สนใจมากครับ มันคือโจทย์ที่คู่รักทุกคู่ล้วนต้องเผชิญ เมื่อพวกเขาตกลงใช้ชีวิตด้วยกันและหันมาทำอะไรร่วมกันแล้ว มันเป็นเรื่องปกติมากๆ ที่ต้องมีอุปสรรคเกิดขึ้น ประเภทว่าโอกาสสำเร็จ-ล้มเหลวมีไม่ต่างกันแบบนั้นน่ะครับ ซึ่งบททดสอบแบบนี้ หากคู่ไหนผ่านได้ก็มีแววว่าจะอยู่กันต่อได้ แต่หากไม่ผ่านแล้ว ก็เตรียมแยกทางกันเดินได้เลย
เนี่ยครับ โจทย์มันดี แต่หนังก็ยังเอาโจทย์ที่ว่ามาใช้ได้ไม่เต็มที่ มันไม่ได้เพิ่มรสชาติหรือความน่าติดตามให้กับเรื่องราวสักเท่าไร ซึ่งอะไรแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับ Summer in the Vineyard มาก่อนครับ มีโจทย์ประมาณเดียวกันนี่แหละ แต่คนทำไม่สามารถผลักด้นโจทย์นี้ให้กลายเป็นความน่าติดตามได้
ดังนั้นตัวหนังโดยรวมถือว่ากลางๆ ครับ เป็นหนังโรแมนติกที่ดูได้เรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีอะไรเกินคาดเดา เช่นเดียวกับการเดินเรื่องที่ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากมาย ซึ่งดูจากชื่อผู้กำกับ Terry Ingram แล้วก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ เพราะรายนี้แม้จะทำหนัง Hallmark มาหลายเรื่อง แต่ส่วนใหญ่ก็จะค่อนไปทางกลางๆ มากกว่าจะโดดเด่น
แต่อย่างน้อยก็ทำออกมาได้ดูแบบเพลินๆ ครับ และหนังยังมีประเด็นหนึ่งที่ผมชอบ คือประเด็นที่ว่า ยามเราจะเริ่มต้นประกอบกิจการอะไรสักอย่างนั้น เราย่อมต้องมีทุนที่เพียงพอ ไม่งั้นก็ไปไม่รอด ยิ่งงานนั้นหรือธุรกิจนั้นคือธุรกิจในฝันแล้ว ความยาวของสายป่านก็เป็นอะไรที่สำคัญไม่แพ้กัน
ผมนั้นก็เป็นคนหนึ่งที่เคยทำงานตามความฝันครับ เลยรู้ดีว่าการมุ่งแต่จะทำตามฝันโดยไม่ประเมินประมาณความพร้อมของเราให้ดีนั้นคือเรื่องที่อันตรายแค่ไหน จริงครับที่ความฝันคือสิ่งสวยงาม และเทรนด์ยุคนี้ก็เชียร์เหลือเกินให้เราทำตามฝัน แต่คนที่บอกให้เราทำตามฝันเขาไม่ได้มาออกทุนให้เรานี่ครับ เราก็ต้องทำเอง ออกเอง ลุยเอง และถ้าพลาดก็คือพลาดเองเช่นกัน
ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องผิดที่จะทำตามฝันครับ แต่เราต้องเตรียมให้ดี มองสิ่งต่างๆ ให้รอบ และต้องมีทุนสำรองเพียงพอที่จะแผ้วถางเส้นทางแห่งความฝันของเราได้โดยที่เราไม่ลำบากเดือดร้อน ซึ่งกรณีของพระ-นางในหนังเรื่องนี้ก็ชวนให้เราฉุกคิดประเด็นนี้เหมือนกัน
เอาเป็นว่าหนังทำออกมาได้เรื่อยๆ ครับ แต่ชอบที่หนังเอาประเด็นนี้มาเล่นให้เราฉุกคิด โดยเฉพาะคนที่จะเริ่มทำตามความฝัน ควรพิจารณาให้ดีครับ อย่าโลกสวยเกิน และอย่ามองลบเกิน ต้องหาจุดพอดีตรงกลางให้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็อาจตกไปสู่หลุมดำแห่งความฝันก็เป็นได้
คะแนนความชอบ 6/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
รีวิว The Age of Adaline (2015) อดาไลน์ หยุดเวลา รอปาฏิหาริย์รัก
2253 0ตอนผมดู The Age of Adaline นั้น ผมกำลังเพลินกับซีรี่ส์ Forever เลยครับ (ตอนนั้นยังไม่มีคำสั่งแคนเซิลให้เศร้าใจ 555)
รีวิว Nintendo Quest (2015)
1562 0ลึกๆ แล้วผมสนใจหนังกึ่งสารคดีเรื่องนี้นะครับ มันว่าด้วยภารกิจของชายคนหนึ่งที่รับคำท้าว่าจะหาซื้อตลับเกม Famicom เท่าที่เคยมีการนำเข้ามา (แบบถูกลิขสิทธิ์) ในแผ่นดินอเมริกา ซึ่งมีทั้งหมด 678 เกมครับ
รีวิว 11-12-13 รักกันจะตาย (2016)
1498 0ลองว่าเป็นหนังผีแนวรวมเรื่องสั้นแบบนี้ ผมก็พร้อมจะตามไปดูครับไม่ว่าจะของประเทศใดก็เถอะ (แม้หลังๆ หลายเรื่องที่ได้ดู จะทำให้รู้สึกเสียดายเวลาอยู่บ้างก็ตาม)