รีวิว Love Blossoms (2017)

Shantel VanSanten เป็นนักแสดงสาวที่เตะตาผมมากพอสามควร ตอนที่เธอแสดงเป็นแฟนของแบร์รี่ อัลเลน ในซีรี่ส์ The Flash ช่วงปี 2 น่ะครับ (โดยส่วนตัวผมเชียร์เธอให้คู่กับแบร์รี่มากกว่าไอริสอีกนะ 555)
แน่นอนว่าเหตุผลหนึ่งที่ผมดูเรื่องนี้ก็เพราะมีเธอนำแสดงนี่แหละครับ บวกด้วยเป็นหนังรักโรแมนติกของ Hallmark ก็เลยครบสูตรครบเครื่อง “หนังน่าดู” สำหรับผม ?
เรื่องของ ไวโอเลต แชปเพล (VanSanten) ที่พ่อของเธอเป็นนักธุรกิจผลิตน้ำหอมครับ และเมื่อพ่อของเธอจากโลกนี้ไปเธอก็ต้องรับหน้าที่สร้างสรรค์น้ำหอมกลิ่นใหม่ออกมาจำหน่ายให้ทันเวลา
ประมาณว่าพ่อของเธอผลิตคอลเลคชั่น Signature Trilogy สำหรับวันวาเลนไทน์ออกมาครับ โดยสามารถปรุง 2 กลิ่นแรกออกมาได้แล้ว แต่กลิ่นที่ 3 นี่แหละที่กลายมาเป็นโจทย์ให้ไวโอเลตต้องปวดหัว เพราะหากเธอปรุงไม่สำเร็จแล้วล่ะก็ ทุกสิ่งที่พ่อของเธอสร้างมาก็จะต้องจบสิ้นลง
และงานด่วนสุดสำคัญที่เธอต้องทำก็คือตามหาคนที่มีประสาทรับกลิ่นขั้นเทพเพื่อให้มาช่วยในค้นหาปรุงกลิ่นน้ำหอมใหม่ เพื่อให้เข้ากับคอลเลคชั่นที่ว่า และเธอก็ได้พบกับ เดค เกรนเจอร์ (Victor Webster) นักพฤกษศาสตร์หนุ่มผู้สามารถแยกแยะกลิ่นได้อย่างสุดยอดแล้วไวโอเลตกับเดคก็ร่วมงานกันน่ะครับ แต่แน่นอนว่าระหว่างร่วมงานกันนั้น ความผูกพันกับสายใยก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น แต่ไวโอเลตก็พยายามห้ามใจ เพราะเธอมีแฟนอยู่แล้ว (Callum Blue) อีกทั้งเธอต้องระวัง โอลิเวีย เคน (Bobbie Phillips) นักปรุงน้ำหอมคู่แข่งที่ชอบขโมยหรือไม่ก็ก็อปปี้กลิ่นน้ำหอมของคนอื่นไปใช้เป็นผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วย
สิ่งแรกที่ผมชอบมากคือบรรยากาศในเรื่องครับ หนังไปถ่ายทำที่เบลเยียม บอกได้เลยว่าสวยมาก ภาพปราสาทเก่าๆ ภาพเมืองคลาสสิกๆ หรือวิวตรงที่ไวโอเลตไปยืนตรงกำแพงปราสาทน่ะครับ คือสวยงามถึงตายเลยทีเดียว สำหรับผมแค่ดูวิวดูบรรยากาศก็อิ่มแล้วครับ
ส่วนเนื้อเรื่องก็ออกจะลงสูตรครับ เดาได้หมดแหละ เปิดมาพระเอก-นางเอกก็จะออกแนวกัดกันนิดๆ ขัดกันหน่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ จูนใจเข้าหากัน ส่วนแฟนของนางเอกก็จะค่อยๆ เป็นตัวร้ายที่พยายามทำลายความสัมพันธ์ของพระ-นาง ซึ่งในมุมหนึ่งผมก็เข้าใจเขาน่ะครับ ก็แฟนกำลังจะถูกแย่งไป เขาก็เลยทนไม่ได้ มันก็สมเหตุผลอยู่
บางทีดูหนังแนวนี้บ่อยๆ ก็มีคิดบ้างล่ะครับ ว่าจริงๆ คนเป็นแฟน ณ ตอนนั้นก็คิือคนน่ะครับ ถ้าเป็นเราก็คงเต้นเหมือนกัน แต่เราก็เลือกได้ว่าจะเอายังไงต่อ ถ้าจะสู้เพื่อแย่งก็ลองดูสักตั้ง แต่หากผลกลายเป็นว่าเขาไม่เลือกเรา เราก็ไม่ผิดหรอกครับ (นี่หมายถึงในกรณีที่เราไม่ได้ทำสิ่งเลวร้ายน่ะนะครับ) ยังไงเราก็ยังมีค่าอยู่ครับ คนนี้ไม่เลือกเรา เราก็ต้องไม่ลดค่าตนเอง แล้วต่อไปเราก็จะเจอใครที่เห็นค่าเราเอง.. เริ่มไกลจากหนังไปเยอะแล้วแฮะ 555
สำหรับเรื่องนี้ VanSanten น่ารักดีครับ เธอฉายเสน่ห์ได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกเวลาที่ยิ้มนี่ชวนให้มองจริงๆ ส่วน Webster ก็โอเคกับบทครับ แต่ในฐานะที่ดูหนัง Hallmark มาเยอะๆ ก็รู้สึกว่าพระเอกจะออกแนวโมโนโทนอยู่เหมือนกัน หน้าตามาแนวเดียวกัน สไตล์ก็มักจะคล้ายกัน จนออกจะรู้สึกซ้ำอยู่ไม่น้อย กลายเป็นว่าคนที่เป็นสีสันจริงๆ ของหนัง Hallmark ส่วนมากคือตัวนางเอกครับ ต่างเรื่องก็ต่างรส แต่พระเอกนี่ค่อนข้างจะมาทางเดียวกัน
ตัวหนังก็ทำได้ดูเพลินดีครับ จริงๆ โจทย์ที่ไวโอเลตต้องสู้นั้นสามารถใช้เป็นเงื่อนไขเพิ่มความสนุกให้กับหนังได้อย่างดี แต่ตอนท้ายดูหลายๆ อย่างจะง่ายไปหน่อยน่ะครับ ซึ่งก็เดาได้แต่แรกล่ะว่ามันคงเป็นประมาณนี้ ก็แอบเสียดายเล็กๆ เพราะจริงๆ มันสามารถดึงอารมณ์ให้ซึ้งได้มากกว่านี้พอสมควร
โดยรวมแล้วเป็นหนังโรแมนติกเบาสมองที่ดูแล้วไม่ผิดหวังครับ เพียงแต่อาจไม่ถึงกับสมหวังมากมายเท่านั้น แต่ก็อย่างที่บอกครับว่าดูเพราะเสน่ห์ของ VanSanten เป็นหลัก และเธอก็ฉายเสน่ห์กำลังดี ก็หวังว่าเธอจะมีผลงานต่อไปในสไตล์นี้มาให้ชมกันอีกครับ
คะแนนความชอบ 6/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
รีวิว เศียรสยอง (2015) Under The Mask
1836 0ว่ากันง่ายๆ เลยน่ะนะครับ ผมดูเศียรสยอง เพราะอยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง จริงๆ ก็สนใจตั้งแต่สมัยเป็นโปรเจคท์สยองสองบรรทัดน่ะครับ และผมก็ชอบอยู่แล้วหนังสยองน่ะ ก็เลยลองลิ้มจัดดูสักหน่อย
รีวิว The Lone Ranger (2013) หน้ากากพิฆาตอธรรม
1899 0ตอนแรกนั้นผมกะจะขึ้นประโยคแรกของรีวิวว่า “การทำหนังแอ็กชันแนวคาวบอยตะวันตกเป็นเรื่องยาก” แต่พอนึกถึงความอร่อยสาแก่ใจใน Django Unchained เลยขอถอดประโยคที่ว่าออกจากสารบบในทันที
รีวิว Get on Up (2014) เจมส์ บราวน์ เพลงเขย่าโลก
1517 0ตอนได้ข่าวว่า Tate Taylor แห่ง The Help จะมากำกับเรื่องชีวิตของเจมส์ บราวน์ เจ้าของฉายาเจ้าพ่อแห่งเพลงโซล (Godfather of Soul) ความสนใจก็ไหลมาเทมาทีเดียวครับ เพราะ Taylor ทำ The Help ไว้ดีมากๆ