รีวิว Diary of a Wimpy Kid: The Long Haul (2017) ไดอารี่ของเด็กดไม่เอาถ่าน 4 ตะลุยทริปป่วน

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด
Diary of a Wimpy Kid 3 ภาคแรกถือเป็นหนังสนุกสุดเพลินที่ดูได้เรื่อยๆ ครับ ทีมดาราเล่นกันได้พอเหมาะ และแต่ละตอนก็มีครบทั้งอารมณ์ขันและเนื้อหาสาระดีๆ ที่สำคัญคือยิ่งดูก็ยิ่งคุ้นกับทีมดาราหน้าเดิมๆ
แต่พอเวลาผ่านไปเกือบ 10 ปี ดาราเด็กจากหนังชุดแรกก็โตกันหมดแล้วครับ เลยทำให้พอมีโครงการจะทำภาคต่อก็เลยต้องเปลี่ยนดาราใหม่ยกทีม ทำให้นี่กลายเป็นหนังภาคต่อที่ไม่มีดาราชุดเก่ามาโผล่หน้าเลย
จำได้ตอนประกาศสร้างหนังภาคนี้ แฟนหนังภาคเก่าก็ออกมาประท้วงน่ะครับ โดยเฉพาะการแคส Charlie Wright มาเป็นร็อดดริก ซึ่งของเดิมนั้น Devon Bostick เล่นไว้ดีมาก กวนทีนมาก ในขณะที่รูปลักษณ์ของ Wright ดูไม่กวน และไม่ใช่ร็อดดริกเท่าที่ควร
แต่ก็นั่นล่ะครับ ลองว่าเด็กโตกันหมดก็ต้องยกเครื่องเปลี่ยนคนเป็นของธรรมดา ผมนั้นในฐานะแฟนหนังชุดนี้คนหนึ่งก็ยังอยากให้มันออกมาสนุกล่ะครับ จะได้มีตอนต่อให้ดูอีก จะได้มีหนังเพลินๆ เบาๆ ให้ดูอีกต่อไปในอนาคต (ประมาณว่าถ้าภาคนี้ดัง ก็จะได้มีตอนต่อออกมา)
ภาคนี้ครอบครัวเฮฟฟ์ลี่ย์ยกขบวนกันไป Road Trip ครับ โดยคุณแม่ (Alicia Silverstone) หวังเป็นที่ยิ่งว่าการเดินทางหนนี้จะทำให้สายใยในครอบครัวแน่นแฟ้นขึ้น ดังนั้นคุณแม่เลยมีกฎระหว่างการเดินทางก็คือ ห้ามทุกคนแตะมือถือเป็นอันขาด
รวมถึงเทคโนโลยีทันสมัยทั้งหลาย หากไม่จำเป็นก็ห้ามใช้ แล้วก็หันไปใช้วิธีเดิมๆ หันมาคุยกันให้มากขึ้นกันดีกว่า แต่เราก็คงพอเดาได้ครับว่าเกร็ก (Jason Drucker) กับร็อดดริก (Wright) ไม่มีวันทำตามแม่บอกแน่นอน และนั่นแหละคือจุดเริ่มของเรื่องวุ่นๆ สารพัดที่ครอบครัวเฮฟฟ์ลี่ย์ต้องเผชิญระหว่าง Road Trip หนนี้
จริงๆ ประเด็นของภาคนี้ถือว่าดีนะครับ เพราะเอาประเด็น “สังคมก้มหน้า” มาเล่ากันแบบตรงๆ ซึ่งมันก็สะท้อนความจริงของสังคมได้ดี ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าเราอยู่กับหน้าจอและมือถือมากกว่าอยู่กับคนจริงๆ
แต่เอาเข้าจริงประเด็นนี้ก็ไม่ได้ลึกหรือน่าสนใจอะไรขนาดนั้นครับ ส่วนมากหนังก็จะมาเน้นสถานการณ์ป่วนๆ เรื่องฮาๆ แล้วก็มุกตลกเจ็บตัวทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งถ้าให้บอกตรงๆ ก็คือหนังดูจะเน้นส่วนนี้มากไปหน่อยจนหนังเสียกระบวนไป
ชุดก่อนที่มันดูสนุกก็เพราะตัวละครแม้จะออกแนวการ์ตูนแต่ก็ยังไม่หลุดเกิน ยังพอมีมิติความลึกบ้าง แต่กับฉบับนี้บางทีก็หลุดมากไปหน่อย หรือไม่ก็เน้นเรื่องป่วนมากจนพื้นที่สำหรับประเด็นดีๆ ถูกเบียดบังไปหมด ในขณะที่ถ้าเป็นภาคก่อนๆ สัดส่วนความฮา การ์ตูนและสาระจะไปด้วยกันได้ดีกว่านี้ กลมกล่อมกว่านี้น่ะครับ
ด้านดาราก็กลางๆ ครับ Drucker ก็ถือว่าเรื่อยๆ กับบทเกร็ก แต่ Wright นี่ดูไม่ใช่ร็อดดริกสักเท่าไรครับ ความกวนความฉลาดแกมโกงมันไม่เปล่งรัศมี แต่ก็เข้าใจว่าเขาคงพยายามน่ะครับ แต่มันก็เลยให้ผลแบบ “กวนพยายาม” มากกว่าจะเป็น “กวนทีน”
แต่หนังก็มีประโยคที่ผมชอบนะ อย่างตอนร็อดดริกบอกว่า “เชื่อเถอะว่าการที่แม่ไม่อยากให้นายเล่นมือถือ ก็เพราะอยากให้นายสัมผัสกับชีวิตจริง และมีความสุข แต่ปัญหาคือ แม่ไม่เข้าใจว่ามันยากแค่ไหนกับการเป็นเด็กในศตวรรษที่ 21” จุดนี้ก็ถือว่าน่าคิดอยู่เหมือนกัน
สรุปว่าโดยรวมแล้ว 3 ภาคก่อนประทับใจกว่าครับ ส่วนภาคนี้ที่หลายเสียงบ่นว่าแย่ก็อาจเพราะคาดหวังจากที่ชุดเก่าทำไว้ แต่หากพยายามมองแบบกลางๆ หนังก็ดูได้น่ะครับ เพียงแต่ไม่ได้มีอะไรเด่นหรือน่าจดจำเท่านั้นเอง (รายได้ภาคนี้ลดลงครึ่งต่อครึ่งน่ะครับ)
คะแนนความชอบ 5/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Daybreakers (2009) วันแวมไพร์ครองโลก
442 0เป็นหนังแวมไพร์ที่ไม่ธรรมดา มาพร้อมไอเดีย แง่คิด และจัดว่ามีความสดพอตัว ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด เหตุในหนังนั้นเกิดในโลกอนาคตครับ เมื่อคนส่วนใหญ่บนโลกกลายเป็นแวมไพร์กันหมด และเมื่อปฏิทินมาถึงปี 2019 ปรากฏว่าเลือดเกิดขาดแคลนเพราะมนุษย์ก็โดนล่าไปเกือบหมด ทำให้ต้องมีการหาทางผลิตเลือดทดแทน และเอ็ดเวิร์ด ดัลตัน (Ethan Hawke) ก็คือหัวหน้าทีมวิจัยที่กำลังค้นคว้าอยู่ แต่แล้วในเวลาต่อมาเขาก็ได้พบกับ ไลโอเนล คอร์แม็ค (Willem Dafoe) มนุษย์ที่มาพร้อมวิธีการแก้พิษแวมไพร์ ซึ่งเป็นทางออกที่ดีครับ เพราะคนจะได้เลิกกินเลือดแล้วกลับไปเป็นคนธรรมดา ไม่ต้องมาฆ่ากันอีกต่อไป เอ็ดเวิร์ดก็เลยตัดสินใจร่วมมือกับเขาและมนุษย์ที่เหลืออยู่ เพื่อช่วยให้มนุษย์กลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิม แต่ก็แน่นอนว่าเขาไม่สามารถดำเนินแผนได้ดั่งใจนัก เพราะยังมีแวมไพร์อีกมากที่ไม่อยากกลับไปเป็นคน ประมาณว่าแวมไพร์น่ะมีพลังสารพัด ดีกว่ากลับไปเป็นคนตั้งเยอะ หรือไม่บางคนก็กลายเป็นแวมไพร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ทั้งกายและใจไปแล้ว ดังนั้นการถอนพิษแวมไพร์ก็เท่ากับเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสายตาของพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเอ็ดเวิร์ดเลยต้องเจอกับการไล่ล่าจนได้ อย่างแรกที่เข้าท่ามากๆ ก็คือโทนเรื่องกับการจัดแสงที่นับว่าดีทีเดียว
รีวิวซีรี่ส์ Tamiou (2015)
2236 0เรื่องนี้ไม่คาดหวัง เห็นเขาว่าฮากันก็ลองดู ปรากฏว่าฮาจริงครับ ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Baby Driver (2017) จี้ เบบี้ ปล้น
1889 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ดูหนังเรื่องนี้ด้วยอารมณ์ยินดีครับ ดีใจที่ Edgar Wright มีหนังร้อยล้านกับเขาสักที จริงๆ ก็เชียร์เขามาหลายเรื่องแล้วล่ะ เพราะชอบหนังของพี่แกทั้งนั้น ไม่ว่าจะ Shaun of the Dead, Hot Fuzz, Scott Pilgrim vs. the World และ The World’s End ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด