รีวิว Collateral Beauty (2016) โอกาสใหม่หนสอง (ตอนจบ- มีสปอยล์)

รีวิว Collateral Beauty (2016) โอกาสใหม่หนสอง (ตอนจบ- มีสปอยล์)

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด

บทความนี้มีสปอยล์ครับ หากไม่อยากทราบ อย่าเพิ่งอ่านครับ

แต่พอหนังเล่าเรื่องในพล็อตแบบนี้ เลยทำให้หนังต้องใช้เวลาไปกับการปูพื้นเรื่อง “วิทจ้าง 3 นักแสดง” แล้วไหนจะต้องพยายามทำให้การที่ฮาเวิร์ดเชื่อว่า “3 คนนี้คือตัวแทนความหมายทั้งสามจริงๆ” มันดูสมเหตุสมผลอีก ทั้งหมดนี้บอกตรงๆ ว่าหนังยังเล่าได้ไม่เนียน และมันทำให้หนังต้องใช้เวลาไปโดยใช่เหตุ

ผมเชื่อว่าผู้ชมอยากเข้าไปดูเพราะอยากได้สาระชีวิต อยากได้ข้อคิดประดับหัว อยากได้หนังดีที่มีคุณค่าไว้เอามาสอนใจ แต่พอหนังใช้เวลากว่าครึ่งไปกับการปูพื้นเรื่องดังกล่าว เลยออกจะผิดจุดไปหน่อยน่ะครับ อันนี้เสียดายมาก

และประเด็นที่สำคัญคืออะไรรู้ไหมครับ คือสรุปว่า 3 นักแสดงนี่จริงๆ ก็คือเทพทั้ง 3 ตัวจริงนั่นแหละ (จากที่หนังนำเสนอให้ตอนท้าย มันชวนให้คิดไปแบบนั้นน่ะครับ พวกเขาต้องเป็นเทพจริงๆ แน่) ดังนั้นแล้ว การนำเสนอแบบที่หนังใช้นี่ ดูเหมือนจะเป็นความพยายามให้หนังมันมีชั้นเชิงนะ แต่ในแง่หนึ่งมันคือการอ้อมโลกโดยไม่จำเป็น คือเล่าตรงๆ ไปเลยน่าจะดีกว่า

แต่กระนั้นผมก็พอเข้าใจล่ะครับว่าทำไมหนังถึงเดินเรื่องแบบนี้ ก็เพราะหนังมันมีพล็อตรองว่าด้วย 3 เพื่อนของฮาเวิร์ดที่จริงๆ ก็มีปมในใจเหมือนกัน อย่างวิทก็มีปมเกี่ยวกับความรัก, แคลรก็มีปมเกี่ยวกับเวลา ส่วนไซมอนก็มีปมเกี่ยวกับความตาย ดังนั้น 3 นักแสดงที่ว่าก็จะมีโมเมนต์มาให้กำลังใจหรือให้แง่คิดดีๆ กับเพื่อนทั้ง 3 ของฮาเวิร์ดเหมือนกัน

ทว่าเวลามันจำกัดน่ะครับ พล็อตหลักพล็อตรองที่ “มีดี” มันเลยไปไม่สุด และด้วยความที่หนังมีรายละเอียดเยอะอย่างที่บอก การพยายามยัดเรื่องราวของตัวละครตั้งหลายตัวใส่ลงไปในหนังที่ยาวแค่ 90 นาที มันเลยเป็นอะไรที่ชวนให้เสียดายของจริงๆ

ยอมรับว่าระหว่างดู ผมรู้สึกว่าดาราแต่ละคนก็พยายามแสดงกันอย่างดีล่ะครับ แต่หลายครั้งก็รู้สึกว่าพวกเขายังตีบทไม่แตก ซึ่งถ้ามองในแง่ความสามารถผมว่าแต่ละคนเล่นได้อยู่แล้วล่ะไม่ว่าบทจะหนักหรือซับซ้อนแค่ไหน แต่ดูท่าว่าแม้แต่ตัวบทในสคริปเองหรือทิศทางของหนังเองก็ยังไม่ชัดว่าจะให้ไปทางไหน และมันก็รู้สึก “เหมือน” ดาราแต่ละคนตีความบทไปในทิศทางของตนเอง มันเลยมีอยู่หลายวาระเหมือนกันที่การแสดงดีๆ ของพวกเขามันดูขัดกันในทางอารมณ์

คนที่เล่นได้พอดีที่สุดก็ต้องยกให้ Mirren ครับ เธอคุมขอบเขตบทของเธอได้เหมาะ และแผ่บารมีได้ในระดับกำลังดี ไม่ข่มตัวละครอื่นๆ เป็นตัวละครที่ดูกลมกล่อมกับเรื่องมากที่สุดแล้วครับ และอีกคนที่บทถือว่าพอเหมาะก็คือ Harris ครับ เหุที่เป็นแบบนั้นก็คงเพราะบทของเธอแยกเป็นเอกเทศจากตัวละครอื่นๆ ไม่ได้ข้องแวะกับใครเลยนอกจาก Smith เลยทำให้บทของเธอดูมีทิศทางชัดที่สุด

ส่วน Smith, Norton, Winslet, Pen และ Knightley จริงๆ ก็เล่นดีครับ แต่ตัวละครมันไม่ชัด อย่าง Smith ก็ดูจะเศร้าและเครียดตลอด แต่พอถึงฉากที่เขาเจอ Mirren ที่เป็นตัวแทนของความตาย โทนมันกลับออกมาในเชิงตลกซะอย่างงั้น มันเลยกลายเป็นเวลาการแสดงฉากนี้มันดูขัดกับฉากนั้น

ถ้าถามว่าผมชอบการแสดงฉากไหนของเขาที่สุด ผมว่าผมชอบตอนเขาเล่นกับ Harris ครับ มันเป็นบทที่พอดี ผสมกันระหว่างเศร้า, เครียด และโรแมนซ์นิดๆ ได้แบบลงตัว ซึ่งก็สอดคล้องกับตอนจบครับ จนบอกได้เลยว่าในบรรดาสารพัดพล็อตในหนังเรื่องนี้ ผมชอบเส้นเรื่องของ Smith และ Harris ที่สุดแล้ว

นี่น่าจะเป็นหนึ่งในหนังที่ให้อารมณ์แปลกมากสำหรับผมครับ คือถ้าถามว่าอยากดูซ้ำไหม ผมก็ว่าผมอยากดูอีกนะ แต่อยากดูเป็นฉากๆ อยากดูแค่บางโมเมนต์เท่านั้น ประมาณว่าอยากดูฉากที่ “3 ตัวแทน” มาคุยกับฮาเวิร์ดและคุยกับตัวละครอื่นๆ น่ะครับ มันมีแง่คิดดีๆ อยู่เหมือนกัน… ผมว่าถ้าผมสคิปดูเฉพาะเส้นเรื่องที่ว่า โทนหนังมันอาจดูดีขึ้นมาก็ได้

ผมไม่อยากจะบอกว่าหนังเรื่องนี้ไม่ดีครับ เพราะจริงๆ มันมีดีนะ มันมีความตั้งใจและเจตนาที่ดี “แต่มันมีวิธีเล่าเรื่องที่ผิด” ผลที่ได้เลยจัดอยู่ในข่ายดีได้อีกถ้าโฟกัสทิศทางเรื่องราวให้ชัดเจนกว่านี้ ซึ่งพอมาดูชื่อคนเขียนบทแล้วก็พอจะถึงบางอ้ออยู่เหมือนกัน เขาคือ Allan Loeb ที่แจ้งเกิดจากบทหนัง Things We Lost in the Fire และ 21 แต่บทหนังเรื่องอื่นๆ หลังจากนั้นมักจะคล้ายกับเรื่องนี้ คือ “มันมีดี แต่เล่าเรื่องได้ยังไม่ดี” ตัวอย่างผลงานอื่นๆ ของเขาก็เช่น Just Go with It, Here Comes the Boom, Wall Street: Money Never Sleeps และ Rock of Ages (โดยเฉพาะเรื่องหลังนี่เป๋หนักมากจนผมยังงง)

ส่วนผู้กำกับคือ David Frankel (The Devil Wears Prada, Marley & Me และ Hope Springs) ซึ่งกับหนังเรื่องนี้ผมว่าเขาก็พยายามคุมอะไรหลายๆ อย่างแล้วล่ะครับ แต่พอบทมันไม่นิ่ง ผลที่ได้เลยไม่กลมกล่อม

เอาเป็นว่าจะลองลิ้มก็ได้นะครับ เพราะอย่างที่บอกว่าหนังมันมีดีในตัวอยู่ไม่น้อย แต่การเล่าเรื่องและทิศทางมันเหวอไปหน่อยเท่านั้นเอง
คะแนนความชอบ 6/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน

ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

Similar Videos

รีวิว Moonlight (2016) มูนไลท์ ใต้แสงจันทร์ ทุกคนฝันถึงความรัก (ตอนจบ)

2464 0

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด บางทีการที่ปัญหาในสังคมของเรามันซ้ำซ้อนซ้ำซากและยากจะหยุดยั้ง มันอาจเพราะเรามัวแต่แก้ปัญหาโดยการจับคนผิด ทว่ากลับไม่คิดหยุด “รังเอเลี่ยนที่ผลิตคนทำผิด” ดังนั้นต่อให้เราจับคนผิดได้หมด ก็จะมีคนทำผิดรุ่นใหม่ถือกำเนิดมาให้เราวิ่งไล่จับได้อยู่ดี… มันจะไม่มีวันจบ… ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

รีวิว Wukong (2017) หงอคง กำเนิดเทพเจ้าวานร

2746 0

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ใครคาดหวังว่าจะได้ดูหนังผจญภัยสไตล์ไซอิ๋วแบบที่หลังๆ เขาทำกันออกมาเยอะแยะมากมายหลายเวอร์ชั่นล่ะก็ ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยครับว่า เวอร์ชั่นนี้ไม่เน้นแอ็กชันหรืออภินิหาร แต่ไปเน้นดราม่าซะละมากกว่า ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

รีวิว Tale of Tales (2015) ตำนานนิทานทมิฬ

2784 1

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ลองว่าเป็นหนังแนวหลายเรื่องสั้น in 1 นี่ผมก็ต้องหาโอกาสดูเสมอครับ เพราะมันเข้าทาง ไม่ว่าจะแนวสยองหรือแนวดราม่า-ตลก-โรแมนติกก็ตาม เพราะหนังตอนสั้นแบบนี้ มันก็มีเสน่ห์ในแบบของมัน (แบบที่หนังยาวๆ บางทีก็ทำไม่ได้) ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด