รีวิว Ghostbusters (2016) บริษัทกำจัดผี

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด
ยอมรับเลยครับว่าตอนดูหนังไปได้ครึ่งเรื่อง ความคิดที่ผุดขึ้นในใจคือ “สงสัยเราจะไม่เขียนอะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้แฮะ” เพราะรู้สึกเฉยๆ น่ะครับ ถ้าให้จำกัดความก็คงต้องบอกว่าไม่แนว ไม่รู้สึกปิ๊งปั๊งอะไรกับตัวหนังเท่าไร
แต่พอผ่านครึ่งเรื่องไป ความคิดเปลี่ยนเลยครับ เพราะมันสนุกขึ้นเยอะมาก ความน่าติดตามน่าสนใจไหลมาเทมา จนพอถึงฉากสุดท้ายของ End Credits ความคิดใหม่ก็ผุดขึ้นมาว่า “เพี๊ยง ขอให้ทำภาคต่อทีเถ๊อะ”
สรุปว่าเรื่องนี้ถือเป็นการรีบูทและน่าจะเป็นการรีเมคด้วยครับ เพราะองค์ประกอบเหมือนเอาบทภาคแรกมา (มีภาค 2 ผสมๆ เข้าไปด้วย) แล้วเติมนั่นนี่เข้าไป และไม่มีการอ้างอิงถึงทีมกำจัดผีดั้งเดิม มันกลายเป็นว่าโลกนี้ไม่เคยมีบริษัทกำจัดผีทำนองนี้มาก่อน
อีกทั้งสารพัดดาราเก่าก็ยังมาเล่นบทรับเชิญกับครบ (ยกเว้น Harold Ramis ผู้ล่วงลับ และ Rick Moranis ที่ประกาศวางมือจากการแสดงไปแล้ว) โดยมารับบทเป็นตัวละครใหม่ไปเลยครับ ดังนั้นจึงค่อนข้างแน่ใจว่ามันคือรีเมคเริ่มใหม่ ไม่อิงฉบับเก่าแล้วล่ะ
พล็อตก็ว่าด้วย 3 นักวิทยาศาสตร์สาว และ 1 พนักงานรถไฟใต้ดิน มาร่วมมือกันประดิษฐ์เครื่องมือจับผี และค้นพบว่าปริมาณผีในเมืองมันเพิ่มขึ้นจนผิดปกติ ทำให้พวกเธอต้องสืบค้นหาความจริง และหยุดหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นให้จงได้
หนังมีส่วนที่ผมชอบและเฉยๆ แบ่งสัดส่วนกันอย่างชัดเจนเลยครับ คือผมชอบตอนเปิดเรื่อง แล้วก็มาชอบอีกทีตอนหนังผ่านไป 1 ชั่วโมง ซึ่งตอนเปิดเรื่องมันเหมือนเป็นการเกริ่นนำพาเราเข้าไปสู่โลกแห่งผีและวิญญาณน่ะครับ ซึ่งมันได้ทั้งอารมณ์น่ากลัวและดึงความน่าสนใจได้อย่างชะงัดนัก
ครั้นพอผ่านช่วงต้นมาก็จะเข้าสู่ช่วงแนะนำตัวละคร ซึ่งช่วงที่ว่านั้นถือว่าเรื่อยๆ น่ะครับ มีการยิงมุกบ้าง มีเรื่องป่วนๆ เกิดขึ้นบ้าง แต่จังหวะการนำเสนอมันไม่มีโฟกัสที่โดนแบบเต็มๆ คือมุกก็ไม่ถึงกับขำแบบเต็มๆ ทิศทางก็ยังไม่ชัดเจน จนบางวาระก็อดคิดไม่ได้ว่าหนังกำลังจะพาเราไปทางไหน
หรือจริงๆ ช่วงที่ว่านี่ ถ้าหากหนังใช้เวลา 1 ชั่วโมงนี่ปูพื้นความสัมพันธ์ตัว ละคร มันคงจะเยี่ยมมากๆ โดยเฉพาะมิตรภาพระหว่าง อีริน (Kristen Wiig) กับ แอ็บบี้ (Melissa McCarthy) ที่หนังแง้มๆ ว่าความสัมพันธ์ของพวกเธอดูจะมีรายละเอียดที่น่าสนใจหลายอย่าง ซึ่งถ้าหนังเล่นจุดนี้หนักๆ ผมเชื่อว่าตอนท้ายที่ไคลแม็กซ์ มันต้องอย่างพีคอ้ะ คือเท่าที่เป็นผมว่ามันพีคนะ แต่ถ้าปูพื้นให้เรารู้ว่า สองคนนี้รักกันปานจะตายแทนกันได้ แล้วไปเจอไคลแม็กซ์แบบนั้น ผมว่ามันจะ “สุดยอดของสุดยอดของสุดยอดของสุดยอด” แน่นอน
ผมชอบฉากที่อีรินเล่าให้ทุกคนฟังน่ะครับว่าเธอเคยเจอผีสมัยเด็ก แต่ไม่มีใครเชื่อเธอเลยนอกจากแอ็บบี้ ฉากนี้น่ารักและกินใจมาก จนอยากให้มีฉากแบบนี้อีกเยอะๆ เพราะมันจะทำให้ภาพลักษณ์ของ 4 สาวดูแน่นแฟ้นและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น
ครับ ช่วง 1 ชั่วโมงแรกผมรู้สึกเรื่อยๆ นะ แต่พอเข้า 1 ชั่วโมงหลัง หรือถ้าพูดให้ชัดคือฉากที่ 4 สาวเอาแผนที่มากางแล้วพบเงื่อนงำอะไรเข้า ฉากนั้นล่ะครับโทนหนังพลิกมาดูน่าสนใจ และทิศทางโฟกัสก็มาชัดแบบจัดเต็ม นาทีนั้นผมอุทาน (ในใจ) ว่า “เออ นี่แหละหนัง Ghostbusters แบบที่มันควรจะเป็น”
แล้วจากนั้นความน่าสนใจก็มาเรื่อยๆ ครับ การตามปมต่างๆ อาจไม่พลิกความคาดหมายนะ แต่มันสนุก และมันส์ด้วย พวกฉากโซ้ยกับผีตอนท้ายนี่ได้ใจมาก อุปกรณ์โคตรมีสีสัน ฉากผีตัวบอสใหญ่ออกฤทธิ์ก็ทำออกมาได้อลังการดีมาก เรียกว่า 1 ชั่วโมงหลังนี่ผมพูดได้เต็มปากว่าหนังสนุกมากจริงๆ
และเมือมาสรุปความโดยรวมแล้ว หนังมีส่วนที่ผมชอบเยอะกว่าส่วน ที่เฉยครับ นอกจากชอบครึ่งหลังแล้ว ผมยังชอบรายละเอียดในหนัง อย่างเช่น การที่โลก (ในหนัง) ไม่เชื่อเรื่องผี และผู้ว่า (รับบทโดย Andy Garcia) พยายามสร้างภาพและปฏิเสธเรื่องผีตลอด ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคที่น่าสนใจมากสำหรับทีมปราบผีที่ต้องทั้งสู้กับผีและสู้กับความอับอาย, การโดนดูถูกหาว่าเป็นพวกลวงโลก
และจากปมนั้นผมเลยชอบฉากจบน่ะครับ ฉากที่สื่อให้เห็นว่าแม้สิ่งที่พวกเธอทำจะโดนค่อนขอดว่าหลอกลวงก็เถอะ แต่ลองว่าคนพยายามทำสิ่งดี ยังไงก็มีคนชื่นชมและขอบคุณ จุดนี้ถือว่าหนังทำได้ดีกว่าชุดที่แล้วซะอีก คือดูแล้วเชื่อ (แบบกินใจลึกๆ) ว่าชาวเมืองรักและขอบคุณพวกเธอนะ
นี่ก็อดคิดไม่ได้ล่ะครับว่าถ้าหนังเน้นเรื่อง “จิตใจ” ให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องจิตใจไมตรีระหว่าง 4 สาว หนังน่าจะมีอะไรที่เด็ดมากและเป็นเอกลักษณ์ในแบบของตัวเองมากขึ้นก็ได้
ส่วนที่หลายคนมองว่าหนังเรื่องนี้สตรีนิยมซึ่งจะจริงหรือไม่อันนี้แล้วแต่วิจารณญาณครับ แต่ยอมรับว่าตัวละครผู้ชายในเรื่อง ส่วนใหญ่ออกแนวต๊อง โง่ ขี้แพ้ โวยวาย ไม่ยอมรับความจริง พึ่งพาอะไรแทบไม่ได้ อย่างอีตาเดวิด (Chris Hemsworth) ก็ไร้สมองเกิ๊น หรือตัวร้ายของเรื่องก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน
แต่ถ้าให้มองแบบขำๆ ผมว่าทุกตัวทั้งชายหญิงก็ต๊องหมดล่ะครับ เพียงแต่จะต๊องมากหรือน้อยก็เท่านั้นเอง (555)
ตอนนี้ลุ้นแค่ให้หนังทำกำไรครับ เพราะลงทุนไป $150 ล้านเห็นจะได้ ดังนั้นถ้าได้ $300 ล้านถือว่าเท่าทุน แต่จะสวยมากถ้าได้เกิน $350 ล้านขึ้นไป (จากทั่วโลกนะครับ) แต่ตอนนี้ได้อยู่ที่ประมาณ $122 ล้านเท่านั้น ก็ต้องลุ้นกันอีกยาวครับ แต่หากดูจากท่าทีแบบนี้แล้ว ได้ถึง $300 ล้านก็ถือว่าเก่งมากแล้วล่ะครับ
สรุปว่า Paul Feig ทำได้ไม่เลวครับ อย่างที่บอกว่าครึ่งแรกหลายอย่างดูเข้าเป้าบ้างไม่เข้าเป้าบ้าง แต่อย่างน้อยครึ่งหลังก็สนุก ส่วนดาราก็เล่นกันได้ดี ก็อยากรู้เหมือนกันครับว่าสุดท้ายเราจะได้เห็นภาคต่อของหนังเรื่องนี้ไหม
คะแนนความชอบ 7/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว The Tale of the Princess Kaguya (2013) เจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่
1798 0https://www.youtube.com/watch?v=9lDrkokymLQ ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ตำนานเจ้าหญิงคางุยะหรือเจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่นั้นเป็นอะไรที่ได้ยินมานานตั้งแต่เด็กๆ ครับ พูดได้ว่าแม้จะเป็นตำนานญี่ปุ่นแต่คนรุ่นผมน่าจะคุ้นเคยกันบ้างไม่มากก็น้อย ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Pioneer (2013)
1989 0Pioneer อาจทำให้ใครหลายคนคิดว่ามันจะเป็นหนังแนวระทึกใต้น้ำ แล้วก็ไปเจอสิ่งลึกลับแบบ The Abyss แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลยครับ มันคือหนังแนวระทึกขวัญใต้น้ำที่เน้นไปทางดราม่าเสียมากกว่า ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว A Walk in the Woods (2015)
2642 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด หนังดัดแปลงจากหนังสือชื่อเดียวกันนี้ เขียนโดย Bill Bryson ซึ่งก็ต้องใช้เวลาเกือบ 10 ปีทีเดียวครับกว่าจะได้สร้างจนสำเร็จเป็นหนังเรื่องนี้ และคนที่อยู่เบื้องหลังตัวจริงก็คือ Robert Redford นั่นเอง Redford มีความตั้งใจจะสร้างหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2005 ครับ ตอนนั้นเขาประกาศเลยว่าจะนำแสดงและอำนวยการสร้างเอง และเขาปรารถนาอย่างที่สุดที่จะให้ Paul Newman เพื่อนรักของเขามาร่วมจอด้วย แต่ Newman เองก็ไม่ได้ตบปากรับคำครับ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องสุขภาพ แล้วในที่สุด Newman ก็จากโลกนี้ไปในปี 2008 อันทำให้ความหวังของ Redford ต้องจบลงไปด้วย กระนั้นโปรเจคท์นี้ก็ยังไม่ล่มครับ Redford ยังเดินหน้าต่อ จนปี