รีวิว Spectre (2015) องค์กรลับดับพยัคฆ์ร้าย

ในเบื้องต้น ผมมองว่าผมคงคาดหวังกับ Spectre มากเกินไปครับ ซึ่งความคาดหวังที่ว่าก็เกิดจากหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเพราะได้ทีมงานเดิม, เพราะ 3 ภาคก่อนถือว่าดูได้มีมาตรฐาน (และ 2 ใน 3 ภาคถือว่าเข้าขั้นคลาสสิก) และเพราะการกลับมาขององค์กรสเปคเตอร์
ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด
แต่ผลที่ได้นั้นถือว่าออกมาระดับกลางๆ ครับ คือดูได้เรื่อยๆ ไม่สมหวังเต็มร้อย แต่ก็โอเคพอไหวในฐานะหนังบอนด์สักเรื่องหนึ่ง
จริงๆ วัตถุดิบในเรื่องนั้นดีครับ Daniel Craig ก็เป็นบอนด์เข้าเส้นไปเรียบร้อย ดาราสมทบอย่าง Léa Seydoux (เมเดอลีน สวอนน์ สาวบอนด์ประจำตอน), Ralph Fiennes (เอ็มคนใหม่), Ben Whishaw (คิว) และ Naomie Harris (มันนี่เพนนี่) ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีตามที่โอกาสจะอำนวย
แต่ตัวหนังออกมาแบบเรื่อยๆ น่ะครับ ไม่ได้ตื่นเต้นเร่งเร้าหรือน่าสนใจอะไรมาก ซึ่งหลายคนมองไปที่บทว่าบทมันธรรมดา ไปหน่อย อันนี้ผมก็เห็นด้วยล่ะครับ เพราะบทมันเรื่อยๆ ไม่มีจุดดึงดูด ทุกอย่างเล่าแบบง่ายๆ เดินไปแบบง่ายๆ ไร้ลูกเล่นอร่อยๆ ยกเว้นฉากบอนด์กับ “หนู” ในห้องโรงแรมน่ะครับ เป็นฉากที่ผมชอบที่สุดในหนังแล้วล่ะ
จริงๆ ถ้าพูดถึงเรื่องบทแล้ว บทภาค Skyfall ก็ไม่ได้ซับซ้อนหรือเข้มข้นอะไรมากนะครับ แต่การเล่าเรื่องมันพอเหมาะ มันมีปมผลักดันเรื่องราวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ในขณะที่ภาคนี้ ปมหลักๆ มันก็คือบอนด์สืบพบองค์กรสเปคเตอร์ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ พี่แกเจอง่ายมากครับ ไม่ถึงครึ่งเรื่องก็เจอแล้ว และยังได้เจอตัวร้ายประจำตอนด้วย ทีนี้ปมมันก็เลยหมดน่ะครับ เหมือนแรงผลักดันมันดร็อปลงแล้ว แม้จะมีปมตามตัวเมเดอลีนก็เถอะ แต่อารมณ์หนังช่วงที่ว่ามันไม่เชิงเด่นในแง่ความเป็นหนังสายลับ แต่มันออกแนวหนังรักมากกว่าน่ะครับ (ซึ่งปมที่ว่าบอนด์กับเมเดอลีนจะชอบกันไหมนี่ก็แทบไม่ต้องลุ้นล่ะ)
ความรู้สึกช่วงกลางๆ ไปจนถึงตอนจบเหมือนเรานั่งดูฆ่าเวลาเพื่อรอให้บอนด์ไปเจอตัวร้ายอีกสักรอบ แล้วก็จบตอน
แปลกใจเหมือนกันเพราะจริงๆ ภาคที่แล้วผู้กำกับ Sam Mandes ก็เล่าเรื่องในสไตล์นี้น่ะครับ เนิ่บๆ เรื่อยๆ ทุกอย่างเล่าเป็นเส้นตรง แต่จังหวะมันพอดี และจริงๆ ในภาคนี้ Mandes ก็ยังใช้สไตล์นั้นในการเดินเรื่องอยู่ แต่พอบทมันไม่มีพลังพอ และเมื่อมาเจอกับการเดินเรื่องแบบชมสวนแบบนี้ มันเลยออกแนวเรื่อยๆ จนนิ่งๆ น่ะครับ
แล้วหนังก็ยาวสองชั่วโมงครึ่งครับ มันเลยทวีความอืดไปกันใหญ่
และพอมานึกๆ ดู ผมว่าภาคก่อนๆ มันยังมีฉากแอ็กชันมันส์ๆ หรือการไล่ล่าเร้าๆ มาทำให้เรารู้สึกสนุกไปกับหนังได้ แต่กับภาคนี้ฉากแอ็กชันไม่ได้จับใจ แม้จะมีการบู๊กันบนเฮลิคอปเตอร์, บู๊ด้วยเครื่องบิน, บู๊ด้วยรถ ฯลฯ จริงๆ มันก็บู๊เยอะนะ แต่ไหงมันไม่เร้าใจสักเท่าไรก็ไม่รู้น่ะครับ ออกแนวเอื่อยๆ ด้วย (อย่างตอนบอนด์ขับเครื่องบินล่าผู้ร้ายกลางหิมะ จริงๆ ซีนนี้มันเล่นใหญ่นะ แต่มันไม่ตื่นเต้นเร้าระทึกอะไรเลย)
และดนตรีของ Thomas Newman จริงๆ ผมว่าโอเคนะครับ ท่วงทำนองมันมีพลัง แต่จังหวะมันออกแนวเนิบ ยิ่งเจอโทนหนังเนิบมันเลยเนิบยิ่งขึ้น (ตอนพี่บอนด์อยู่ในทะเลทรายนี่มันรู้สึกเหมือนกำลังดู The Martian ยังไงก็ไม่รู้ 555)
สารภาพเลยครับว่านี่เป็นการเขียนรีวิวหนังบอนด์ที่ยากที่สุดของผม เพราะปกติผมจะชอบเอาความประทับใจหรือจุดโดนมาพูดถึง (ใครเคยอ่านที่ผมรีวิวหนังบอนด์ตอนต่างๆ ของผมน่าจะนึกออก) แต่หนนี้ผมพยายามนึกจุดโดนใจ ทว่ามันนึกไม่ค่อยออกน่ะครับ (ถ้าจะโดนใจก็คือฉากหนูในโรงแรมครับ มันโดนจริงๆ)
(ถัดจากนี้จะมีสปอยล์ครับ ไม่อยากทราบข้ามได้ครับ)
และสำหรับตัวร้ายของภาคนี้ เขาคือ ฟรานซ์ โอเบอร์เฮาเซอร์ (ผมขอเรียกชื่อนี้แล้วกันครับ) ซึ่ง Christoph Waltz มาดให้ ลีลาแววตาหลายๆ อย่างพอเหมาะครับ แต่บารมีพี่แกยังไม่ถึง ผมไม่ได้หมายถึง Waltz ไม่มีบารมีนะครับ แต่หมายถึงบทเนี้ย บทที่เขียนเกี่ยวกับตัวละครเนี่ย มันไม่อลัง มันไม่เด่น มันไม่เก๋า มันไม่ฉลาดล้ำอะไรเลย ทั้งๆ ที่บทนี้มันควรฉลาด ควรเก๋า ควรเหนือเมฆ (ไม่งั้นจะอยู่เบื้องหลังเรื่องบ้าๆ ทั้งหลายได้ยังไง)
โดยส่วนตัวแล้วผมว่าความสนุกของหนังบอนด์ (รวมถึงหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่ต่างๆ ด้วย) อยู่ที่ตัวร้ายครับ หากตัวร้ายเด่น มีดี ฉลาด เก่ง และคู่ควรกับพระเอกล่ะก็ ความสนุกจะไหลมาเทมา ซึ่งภาพที่เราเห็นน่ะ ฟรานซ์ทำท่าจะร้ายกาจสุดๆ ทำท่าจะเล่นงานบอนด์ได้แบบเทพๆ แต่ผลที่ได้นี่ ผมว่าซิลวายังเหนือชั้นกว่าครับ
คือถ้าหนังบอกว่าซิลวา (จาก Skyfall) เป็นหัวหน้าสเปคเตอร์ ส่วนฟรานซ์เป็นผู้ช่วย แล้วพอซิลวาโดนเก็บ ฟรานซ์ก็เลยมาเล่นงานแก้แค้นบอนด์ ผมว่ายังน่าเชื่อกว่าเลยนะนั่น
และพี่แกยังโดนเล่นแบบง่ายๆ หลายครั้งมาก ครั้งแรกเห็นพี่แกโดนเล่นผมก็ช้ำใจแล้วนะ คือองค์กรสเปคเตอร์ทำไมดูไร้พิษสงขนาดนี้ ระบบรักษาความปลอดภัยไม่มี ยามก็ไปไหนกันหมดก็ไม่รู้
ผมคิดน่ะครับ ตอนฉากที่ฟรานซ์พาบอนด์ไปดูงานที่มีคนทำงานให้องค์กรเพียบเต็มห้อง ผมคิดเลยว่า “เอาล่ะเฮ้ย ขนาดพนักงานนั่งโต๊ะยังตรึมขนาดนี้ แล้วตอนมีเรื่องตีกันขึ้นมาเนี่ย พนักงานฝ่ายบู๊จะมากและเทพขนาดไหน” แต่เอาเข้าจริงกลับไม่เยอะดังคาด
… สเปคเตอร์ หนอ สเปคเตอร์… ผมว่าผมเดิน เดอะมอลล์ ยังเจอ รปภ. เยอะกว่าเลยนะนั่น (5555)
สรุปว่า โบล เอ้ย ฟรานซ์ (555) เป็นตัวร้ายที่ไม่เจ๋งดังคาดครับ สเปคเตอร์ก็ดูคนละเรื่องกับสมัยก่อนที่เป็นจอมวางแผนและปราดเปรื่องกว่านี้มาก
และพอมาคิดอีกที บอนด์เองก็ไม่ค่อยได้แสดงความเก่งเท่าไรเหมือนกัน (ขนาดเมเดอลีนยังพูดกับบอนด์เลยครับว่า “นี่คุณไม่รู้หรือไงว่าที่คุณตามฉันมา ก็เท่ากับพาพวกมันมาหาฉันด้วย” จำได้หน้าพี่บอนด์อึ้งไปเหมือนกัน)
ครับ สรุปว่าหลายอย่างผิดจากที่คาดไปมาก บทไม่มีอะไรดึงดูด การเดินเรื่องชมสวนลอยชายจนช้า เชื่องเกินไป ฉากแอ็กชันไม่ถึงใจ และโลเกชั่นเจ๋งๆ ก็น้อยครับ ประเภทฉากงามๆ แบบตอนท้าย Skyfall ก็แทบไม่มี ฉากฐานทัพกลางทะเลทรายจริงๆ ดูน่าสนใจ แต่อารมณ์ความอลังมันกลับสู้โรงแรมในตอนท้าย Quantum ไม่ได้เลย
แต่ก็นั่นล่ะครับ สำหรับคอหนังหรือแฟนบอนด์ ก็อยากลองดูครับ ผมพูดอาจดูเหมือนมันแย่มากมาย แต่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่รู้สึกเสียดายที่มันน่าจะสนุกได้อีกมากเท่านั้นเอง (แหม สเปคเตอร์มาทั้งทีนะเนี่ย)
คะแนนความชอบ 6.5/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
007 6.5/10 Daniel Craig James Bond ขุนหมื่นแสนสะท้าน รีวิวหนัง
รีวิว Diary of a Wimpy Kid: The Long Haul (2017) ไดอารี่ของเด็กดไม่เอาถ่าน 4 ตะลุยทริปป่วน
2753 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด Diary of a Wimpy Kid 3 ภาคแรกถือเป็นหนังสนุกสุดเพลินที่ดูได้เรื่อยๆ ครับ ทีมดาราเล่นกันได้พอเหมาะ และแต่ละตอนก็มีครบทั้งอารมณ์ขันและเนื้อหาสาระดีๆ ที่สำคัญคือยิ่งดูก็ยิ่งคุ้นกับทีมดาราหน้าเดิมๆ ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Romeo & Juliet (2013) โรมิโอ & จูเลียต
2677 0โดยทั่วไปแล้ว ทุกครั้งที่มีคนจับเอา Romeo & Juliet ของ William Shakespeare มาทำเป็นหนังใหม่ มันก็จะเป็นที่สนใจของคนทั่วไป แต่ก็มีฉบับนี้นี่แหละครับที่มาเงียบและไปเงียบจนผมเองยังประหลาดใจ ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว The Last Witch Hunter (2015) เดอะ ลาสต์ วิทช์ ฮันเตอร์ เพชฌฆาตแม่มด
1898 0แอบสังหรณ์อยู่เล็กๆ ว่า The Last Witch Hunter น่าจะออกมาได้ประมาณ Hansel & Gretel: Witch Hunters ครั้นพอได้ดูแล้วก็พบว่าตัวเองสังหรณ์ได้ไม่ผิดเลยแฮะ (555) ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด