รีวิว The Theory of Everything (2014) ทฤษฎีรักนิรันดร

รีวิว The Theory of Everything (2014) ทฤษฎีรักนิรันดร

183575

ออสการ์ที่ผ่านมาผมก็ลุ้นให้ Eddie Redmayne ได้ออสการ์นำชาย พอๆ กับที่ผมลุ้นให้ J.K. Simmons ได้ออสการ์สมทบชายนั่นแหละครับ

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด

The Theory of Everything ถือเป็นหนังดราม่า+โรมานซ์+ชีวประวัติที่ทำออกมาได้สวยงามครับ ไม่ว่าจะด้านภาพ ด้านเรื่องราว และแง่คิดที่หยิบมาจากชีวิตจริงของคนจริงๆ ที่ต้องเผชิญอะไรมากมายจากโรคร้ายที่รุมเร้าร่างกาย

***เอาล่ะครับ เดี๋ยวด้านล่างนี่มีสปอยล์แน่นอน ดังนั้นถ้าไม่อยากทราบข้ามไปได้เลยนะครับ เอาเป็นว่าหนังเรื่องนี้ดีน่าดูครับผม

1. Redmayne สุดยอดจริงๆ ครับ ข้อดีที่น่าจดจำของเขาไม่ได้แค่ว่าเขาหน้าคล้ายสตีเฟน ฮอว์คิงเท่านั้น แต่มันคือการแสดงที่ถ่ายทอดอาการกล้ามเนื้อเป็นอัมพาตทีละส่วนได้อย่างสมจริงสุดๆ

หลายฉากทำเอาขนลุกครับ เพราะเหมือนจริงมากจนรู้สึกสงสารและบ่อน้ำตาตื้นขึ้นมาจับใจ (ฉากที่น้ำตาเริ่มมาก็คือ “เจนถือกระดานตัวอักษร” น่ะครับ กรีดแทงใจมากๆ)

การบิดเบี้ยวของกล้ามเนื้อ การออกเสียงแบบควบคุมปากไม่ได้ หรือตอนนอนนิ่งบนเก้าอี้เพราะขยับไม่ได้แล้ว มันสมจริงมากๆ แต่กระนั้น Redmayne ก็ยังสามารถสื่ออารมณ์ออกมาทางแววตาได้อย่างน่าปรบมือ

ขอถวายออสการ์ให้เลยครับ

url
2. Felicity Jones แสดงได้ดีมากเหมือนกันครับ เธอสวมบทเจนได้อย่างพอเหมาะ ช่วงต้นดูสดใส ตอนแสดงออกว่ารักสตีเฟนก็สัมผัสได้ว่าเธอจริงใจ ครั้นพอดูแลสตีเฟนนานๆ ไป หน้าเริ่มโทรม ใจเริ่มหมอง อารมณ์ก็สื่อชัดออกแววตาเลยว่าเธอห่อเหี่ยวและเหนื่อยมากแค่ไหน

เมื่อเดินเรื่องไปถึงจุดหนึ่ง (คนที่ดูแล้วน่าจะทราบว่าคือช่วงไหน) เมื่อเธอได้พบใครอีกคนที่มาเติมเต็มบางสิ่งที่ขาดหายไป แววตาเธอดูสดใสแบบเห็นได้ชัด

… แต่ก็เป็นความสดใสที่ต้องซุกซ่อนเอาไว้… ความสดใสที่มาพร้อมคำถามและความสับสนภายในใจ…

Jones ก็สามารถสื่ออะไรเหล่านี้ได้อย่างน่าชื่นชมเช่นกันครับ (จนคู่ควรกับการได้ชิงออสการ์)

3. ฝีมือดาราคือพลังสำคัญในหนัง นอกจาก 2 ดารานำแล้วก็ยังได้ David Thewlis และ Emily Watson มาเสริมทัพ แต่รายที่น่าจดจำมากหน่อยคือ Charlie Cox ที่หลายคนคงจำเขาได้แม่นจากบทฮีโร่ตาบอด แมท เมอร์ด็อกใน Daredevil ฉบับซีรี่ส์ รายนี้ก็มารับบทโจนาธาน ซึ่งเป็นตัวละครที่มีความสำคัญมากเช่นกัน

ผมชอบการวางตัวของโจนาธานนะครับ Cox ก็เล่นได้ดีเช่นกัน ท่าทางเขาเป็นคนจริงใจ ร่าเริง แต่ก็ซ่อนความเหงาและความเจ็บปวดเอาไว้ ครั้นพอเขาได้เจอกับเจน สีหน้าเขามันบอกชัดครับว่าเขามีความสุขยามอยู่กับเธอ แต่ก็ต้องห้ามใจ ทุกครั้งที่เขายิ้มให้เจน มันคือยิ้มที่จริงใจและห่วงใย แต่ก็เจือไว้ด้วยความสิ้นหวัง

ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจนในเรื่องมันกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ

ยอมรับว่าผมชอบการนำเสนอเนื้อเรื่องส่วนนี้พอสมควรเลยครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่หนังจะถ่ายทอดเรื่องนี้ออกมาให้พอเหมาะทางอารมณ์ ต้องสื่อให้คนดูไม่รู้สึกว่าสองคนนี้กำลังเกินเลยหรือกำลังทำสิ่งที่น่าละอาย ซึ่งผู้กำกับ James Marsh ก็คุมตรงนี้ได้ดีทีเดียวครับ

eddie-redmayne-the-theory-of-everything-still
4. พูดถึงผู้กำกับ Marsh แล้ว เขาก็คุมหนังได้อยู่ครับ จังหวะพอดี น่าติดตาม ผสมผสานความเป็นหนังชีวิตและหนังรักได้อย่างพอเหมาะ แม้เนื้อหาจะเต็มไปด้วยความรันทดของฮอว์คิง แต่สิ่งที่เราเห็นมันเต็มไปด้วยความหวัง เหมือนที่เราเห็นฮอว์คิงจริงๆ ตามสื่อ ตามบทความ หรือตามหนังสือต่างๆ ซึ่งฮอว์คิงเองก็มีทัศนคติในด้านบวกแบบที่เราเห็นในหนังนั่นแหละครับ (เพราะถ้าเขาไม่มีทัศนคติที่เปี่ยมพลังแบบนั้น เขาก็คงยากที่เขาจะยืดหยัดสร้างสรรค์ผลงานมาได้มากมายถึงขนาดนี้)

5. งานด้านภาพมาในโทน Soft สวย น่ารัก และอบอุ่น จากฝีมือของ Benoît Delhomme ซึ่งเคยถ่ายทอดโทนแบบนี้มาแล้วกับหนังรักหวานๆ อย่าง One Day และหนังชีวิตที่น่าจดจำอย่าง The Boy in the Striped Pyjamas

6. ท่วงทำนองดนตรีของ Jóhann Jóhannsson ก็งดงามรับกับอารมณ์ของหนัง สิ่งที่ผมชอบคือไม่ว่าฉากในหนังจะเศร้า หวาน เครียด ท้อ ตลก หรืออบอุ่น โทนที่ Jóhannsson แม้จะเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของฉากนั้นๆ แต่มันจะมีธีมแก่นคงไว้ตลอดทั้งเรื่อง

ธีมที่ว่าให้อารมณ์เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่อาจดูไม่แข็งแกร่งนัก ตรงก้านตรงใบอาจดูอ่อนไหวพริ้วง่ายไปตามแรงลม แต่ไม่ว่าลมจะพัดแรงแค่ไหน ไม่ว่ากิ่งก้านใบจะโดนพัดแรงปานใด แต่ต้นไม้ต้นนี้ไม่มีทีท่าว่าจะล้ม ไม่มีทีท่าว่าจะยอมตาย…

ธีมที่ว่านี้ชวนให้รู้สึกถึง รากแก้วอันเป็นแก่นแท้ของมัน ที่ยังคงแข็งแรงอยู่เสมอไป ท่ามกลางแดดลมฟ้าฝนที่รุมล้อมต้นไม้ต้นนี้อยู่

ไม่แปลกใจเหมือนกันว่าทำไม Jóhannsson ถึงได้ชิงออสการ์กับเขาด้วย

theory3
7. สาระที่หนังให้ คือการไม่ยอมแพ้ครับ ฮอว์คิงไม่หยุดเดินแม้เขาจะเดินไม่ได้ก็ตาม เขายังคงดำเนินชีวิตต่อไป สร้างสรรค์ คิดค้น และทำประโยชน์ต่อไป

ดังนั้นถ้าคนมือขาดีๆ อย่างเราเกิดท้อขึ้นมาเมื่อไร หยิบเรื่องนี้มาลองดูครับ หยิบมาดูทุกครั้งที่ท้อ ผมเชื่อว่ามันจะให้อะไรเราได้เสมอ

8. อีกอย่างที่ผมชอบคือหนังจบลงอย่างสวยงาม ผมว่ามัน Happy Ending นะครับ ซึ่งผมว่าทุกวันนี้เราคงต้องนิยามคำๆ นี้กันใหม่ ต้องอัพเดตมันสักหน่อยแล้ว

Happy Ending ในโลกความจริงนั้นไม่เหมือนในเทพนิยายที่เจ้าชายได้อยู่กับเจ้าหญิงตลอดไป เพราะในความจริงนั้น คู่รักที่จบลงด้วยการแยกจาก ก็ใช่ว่าจะเป็น Sad Ending เสมอไปครับ อย่างในเรื่องนี่สตีเฟนกับเจนต้องแยกทางกัน แต่มันไม่ใช่การจากกันด้วยความเกลียด มันคือการเลือกทางที่ดีที่สุดของตนเอง

จริงครับที่เจนตัดสินใจอยู่กับสตีเฟน โดยที่รู้ว่าเขาจะต้องอัมพาตในสักวันหนึ่ง มันคือการตัดสินใจที่เธอพร้อมรับและมีความสุขที่ได้ทำมัน “ณ ตอนนั้น”

แต่มันก็ไม่แปลกอะไรหากเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเธอเจออะไรมากมาย เมื่อเธอเหนื่อย เมื่อเธอท้อ แล้วการตัดสินใจเธอจะเปลี่ยนไป

เธอไม่ได้รักสตีเฟนน้อยลง เพียงแต่เธอเหนื่อยมากเหลือเกิน และเธออาจจะเริ่ม “คิดถึงตัวเอง” มากขึ้น

ถ้าเธอในวันนี้ (ที่เหนื่อยมากๆ) ย้อนเวลาไปบอกเธอในวันนั้น (ที่ตัดสินใจแต่งกับสตีเฟน) ให้เธออย่าตัดสินใจแบบนั้นเลย ผมก็เชื่อว่า “เจน ณ วันนั้น” ก็ยังเลือกที่จะแต่งงานและดูแลสตีเฟนอยู่ดี

เรื่องพวกนี้ละเอียดอ่อนครับ และมีรายละเอียดให้เราคิดคำนึงมากมาย ดังนั้นการจะตัดสินใครสักคนเพียง ณ ขณะนั้น หรือตัดสินสรุปเขาจากนาทีหนึ่งในอดีต ย่อมเป็นการตัดสินที่ง่าย แต่อาจไม่ใช่การตัดสินที่ “ใช่” ไปเสียทั้งหมด

สำหรับผม มันคือการจบที่สวยงามครับ คนสองคนได้มีชีวิตในแบบของตนต่อไป แม้จะแยกจากกัน แต่ก็ยังรู้สึกดีๆ ต่อกัน ยังใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข ไม่เป็นภาระแก่กัน มีแต่เรื่องดีๆ ให้ร่วมกันทำต่อไป อีกทั้งยังภูมิใจกับวันดีๆ ที่พวกเขาเคยทำร่วมกัน

9. ย้ำอีกทีครับ หนังดีจริงครับ
คะแนนความชอบ 8/10 ครับ
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน

ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

Similar Videos

Boyhood (2014) ในวันฉันเยาว์

2619 0

ภาพยนตร์เข้าชิง Best picture ออสการ์ครั้งที่ 87 : Boyhood เรื่องนี้ขอยกให้เป็นเต็งออสการ์อันดับหนึ่งไปเลย ตอนเปิดตัวหนังสร้างกระแสพอสมควรจากรายละเอียดที่ว่ามีการถ่ายทำนานถึง 12 ปี!! โดยใช้นักแสดงคนเดิมทั้งชุดเพื่อนที่จะได้เห็นพัฒนาการของพวกเขา ในทุกปีจะมีการนำนักแสดงมารวมกันเพื่อถ่ายทำเป็นเวลาสองอาทิตย์ มีการดัดแปลงบทตามสภาวะของสังคมและภายในครอบครัวจากการเติบโตของตัวละครหลัก แรกก็คิดว่าสร้าง 12 ปี นี่ก็ยอมรับในความพยายามและอดทนของทีมงานทุกคนจริงๆ แต่เรื่องนั้นก็ไม่ได้การันตรีคุณภาพงาน จนเมื่อเห็นชื่อผู้กำกับถึงกับต้องคิดใหม่เลย ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด เมื่อเข้าฉายเรื่องนี้ก็กวารางวัลกับคำวิจารเกินคาดมาก ได้เยอะจนไม่คิดว่าจะมีหนังที่ทำได้ขนาดนี้ในยุคนี้ ยิ่งเมกาเองก็น่าจะชอบมากกว่าเราเป็นไหนๆ แม้ผมเองก็ชอบมากๆๆๆไปแล้ว ด้วยการที่หนังเล่าชีวิตของเด็กคนหนึ่งจนเข้าสู่วัยรุ่น ยิ่งผมเองก็เป็นเด็กรุ่นเดียวกับตัวเอกในเรื่องอีกนี่มันคือสุดยอดหนังที่ควรจดจำไว้จริงๆ มันเป็นมากกว่าหนังด้วยการบันทึกประวัติศาสตร์ของสังคมอเมริกาในช่วง12ปีที่ผ่านมา ทำให้หวนนึกความหลัง อย่าคิดว่ามันมีดีแค่นั้นแต่เพราะตัวหนังเองก็สุดยอดมาก จากการมีบทที่ยอดเยี่ยมมาก ตรึงอารมณ์เราไปมาได้ หลายฉาก แสดงถึงความจริงของชีวิตที่ทิ่มแทงเราจนจุก เป็นยิ่งกว่าหนังวัยรุ่นสู่ผู้ใหญ่หรือที่เรียกกันว่า coming

รีวิว S.W.A.T.: Under Siege (2017)

1799 0

https://www.youtube.com/watch?v=7O4daFlnOOw ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด นับย้อนไป ภาคแรกสุดของหนังชุดนี้ก็ 14 ปีล่วงมาแล้วนะครับ จริงๆ หนังก็ทำออกมาได้พอเพลิน ดูเอามันส์ก็นับว่าได้อยู่ ส่วนรายได้ทั่วโลกก็แตะ $200 ล้าน แม้จะไม่กำไรมากมาย แต่ก็ไม่ขาดทุนครับ ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

The Good Lie หลอกโลกให้รู้จักรัก

2305 0

ชนเผ่าเล็กๆกลุ่มหนึ่งในประเทศซูดานที่เคยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบสุข ได้ถูกการคุกคามโดยทหารกองทัพสหรัฐ ซึ่งได้ยิงเข่นฆ่าชาวเผ่าและเผาที่อยู่อาศัยจนไม่สามารถจะอาศัยอยู่ได้ เด็ก4คนพี่น้องที่ได้รอดชีวิตจากการถูกคุกคามครั้งนี้ได้เดินทางออกไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่เพื่อความอยู่รอด พวกเขาลำบากมาก ทั้งต้องหลบซ่อนตัวจากทหารต่างชาติ ต้องอดอยากอาหารและน้ำ พวกเขาเดินทางเป็นระยะไกล จนได้พบกับค่ายผู้ลี้ภัยสงคราม และที่แห่งนี้เองก็เป็นที่ที่ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ซึ่งมีโรงเรียน โรงพยาบาล มีอาหารพร้อมที่จะสามารถดำรงชีวิตได้ ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด เมื่อพวกเขาได้เติบโตเป็นวัยรุ่น ทั้งสี่คนได้ถูกคัดเลือกให้ไปใช้ชีวิตและไปทำงานที่อเมริกา ชีวิตใหม่ของพวกเขาได้เริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อได้เดินทางถึงอเมริกาแล้ว ก็ได้รับการช่วยเหลือจาก แครี่ หญิงสาวโสดผู้ใจดี เธอได้ติดต่อประสานงานเรื่องที่อยู่และหางานให้พวกเขาได้ทำ และต่อจากนี้ชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนไป จากเป็นเด็กลี้ภัยสงครามที่อดอยาก คราวนี้พวกเขาจะได้สร้างชีวิตใหม่และดีขึ้นแต่พวกเขาก็ยังมีภารกิจที่ต้องทำ คือ การหาทางติดต่อพี่สาวของพวกเขาที่อยู่ทางไกลและการตามหาพี่ชายที่จากกันไปนาน พวกเขาจะสมหวังหรือไม่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปต้องชมกันครับ เรื่อง The Good Lie เป็นหนังแนวดรามา สร้างมาจากเรื่องจริงของผู้ลี้ภัยสงครามซูดานที่ได้มีชีวิตใหม่ที่อเมริกา เรื่องนี้สามารถจะสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี