เราคงไม่สามารถนำเอา The Hobbit: An Unexpected Journey ไปเทียบกับหนังชุด Lord of the Rings ได้ แม้เนื้อเรื่องจะต่อเนื่องและเกิดเหตุในโลกเดียวกันกันก็ตาม แต่ทว่าขนาดของเรื่องราวมันต่างกันอยู่เยอะ

หนังขยายความจะนิยายหนึ่งเล่มออกเป็นหนัง 3 ภาค ซึ่งก็ชื่นชมครับว่าทีมเขียนบทอันประกอบไปด้วย Fran Walsh, Philippa Boyens, Peter Jackson และ Guillermo del Toro ช่วยกันสังฆกรรมขยายความบทให้มีอะไรๆ มากขึ้นตามจินตนาการและต่อยอดเค้าโครงที่ J.R.R. Tolkien ประพันธ์ไว้

ผลที่ได้ก็ถือว่าน่าพอใจ เพราะเราจะได้เห็นมิติจิตใจของตัวละครหลักๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะบิลโบ (Martin Freeman) ที่จับพลัดจับผลูต้องมาผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ซึ่งเขาก็มีทั้งมุมสับสน ท้อแท้ ตื่นกลัว หมดกำลังใจ แต่ขณะเดียวกันจิตใจภายในของเขาก็ยังเป็นฮอบบิทที่ดี มีน้ำใจ คิดถึงหัวอกหัวใจของผู้อื่น และการผจญภัยหนนี้ก็เป็นการปลุกความกล้าหาญที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ของเขาด้วย

ในขณะที่ธอริน (Richard Armitage) ก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เขาไม่ไว้ใจผู้ใด มองคนแง่ร้ายไว้ก่อน ซึ่งก็นับว่าน่าเห็นใจครับ เพราะอดีตของเขามันชวนให้คิดไปในมุมนั้นได้จริงๆ

ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็อาจไม่ได้มีบทเด่นชวนจดจำมากมาย เพราะตัวละครร่วมผจญภัยมีเยอะจริงๆ จะเกลี่ยยังไงก็คงได้ไม่หมด จึงไม่น่าแปลกครับที่ Jackson จะโฟกัสไปที่ตัวละครหลักๆ แล้วก็พยายามเล่าเรื่องให้เพลินที่สุด โดยที่ไม่พยายามแนะนำหรือเฉลี่ยบทไปที่ตัวละครอื่นๆ ให้มากเกินไป

… มันทำยากน่ะครับ พอเข้าใจอยู่… ทำได้ขนาดนี้ก็เก่งแล้วล่ะ เพราะหากพยายามมากไป ใส่อะไรๆ มากไป สมดุลหนังอาจเสียหายไปกว่านี้ก็ได้

และ Ian McKellen ถือว่ารับบทกึ่งนำกึ่งสมทบได้น่าพอใจครับ เอาตัวรอดได้สบายเพราะคนดูผูกพันกับพี่ท่านที่สุดแล้ว

จุดเด่นจริงๆ ของหนังคือการเนรมิตโลกแฟนตาซีออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ตั้งแต่บ้านเรือนของพวกฮอบบิทที่ดูเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์ ไปจนถึงริเวนเดลล์ที่งดงามราวเมืองสวรรค์ พูดตรงๆ คือดูพวกนี้ก็คุ้มแล้วล่ะครับ

ส่วนเนื้อเรื่อง ว่าตรงๆ คือมีช่วงอืดช้าไม่น้อยเหมือนกัน อย่างตอนตอนเหล่าคนแคระไปกินดื่มที่บ้านบิลโบนี่ ดูรอบแรกยังโอเค แต่ดูรอบ 2 แล้วมีแอบกรอเหมือนกัน (5555) จุดนี้ต้องยอมรับว่ามันไม่เหมือนกับ Lord ที่เนื้อหาแน่นกว่า บทมีความน่าสนใจเยอะกว่า และรายละเอียดให้เล่านั้นมันมีมากกว่า ในขณะที่ Hobbit ถือเป็นการขยายความทั้งที่เรื่องหลักก็ไม่ได้มีความซับซ้อนมากขนาดนั้น ครั้นจะไปเติมความซับซ้อนหรือเพิ่มปมก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวมันจะไปทับซ้อนหรือผิดเพี้ยนจากนิยายซึ่งก็ไม่ได้อีก

และบางอย่างขืนเติมลงไป แม้จะได้ความตื่นเต้นและความมันส์ แต่มันอาจส่งผลไปถึงไทม์ไลน์ใน Lord ได้เหมือนกัน

เห็นใจในข้อจำกัดหลากประการของทีมงานจริงๆ

การดูหนังเรื่องนี้เลยเป็นการดูแบบซึมซับและเข้าใจน่ะครับ เสพเพื่อความบันเทิงและเติมเต็มปูมปมต่างๆ ในหนังชุด Lord

ยอมรับว่าอารมณ์สรุปสุดท้ายตอน ดูเรื่องนี้จบ ก็เหมือนผมดู King Kong ที่ Jackson กำกับน่ะครับ คือมันไม่ได้ดีสุดยอดนะ มันไม่ได้ลงตัวทุกจุด มันไม่ได้ทำให้เราฟินเป็นล้นพ้น

แต่มันออกมา “ดี” เท่าที่จะเป็นได้แล้วน่ะครับ

ปล. ผมชอบฉบับ Extended อยู่ฉากหนึ่งครับ ฉากตอนต้นที่หนังเล่าว่าเพราะอะไรเหล่าคนแคระและเอล์ฟถึงทางใครทางมัน มันสะท้อนความจริงได้ไม่เลวทีเดียว
คะแนนความชอบ 8/10 ครับ
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน