รีวิว Dunkirk (2017) ดันเคิร์ก (ตอนที่ 1)

รีวิว Dunkirk (2017) ดันเคิร์ก (ตอนที่ 1)

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด

การที่ผมเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงถึง 2 รอบแปลว่าผมชอบหนังเรื่องนี้มากๆ ใช่หรือไม่? ก็อาจจะใช่นะครับ ผมคงชอบหนังเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว แต่ครั้นพอมาถามใจตัวเองจริงๆ คำตอบมันอาจมีรายละเอียดมากกว่าคำว่า ชอบ หรือ ไม่ชอบ

ผมดู Dunkirk รอบแรกจบลงด้วยความรู้สึกว่าหนังดี หนังเรื่องนี้เราชอบ แต่พอเวลาผ่านไปก็บังเกิดความรู้สึกประมาณว่า “มันยังไม่สุด มีบางจุดของหนังที่แอบขัดๆ ทางอารมณ์ แต่โดยรวมๆ แล้วเราก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เข้าข่ายดีนั่นแหละ”… แต่กระนั้นความค้างคาบางอย่างก็ยังคงอยู่ในหัว

พอค้างคามากๆ ก็เลยขอเข้าไปเก็บอีกสักนัด เพราะหนังก็ไม่ยาวเท่าไรด้วย แค่ 1 ชั่วโมง 40 นาทีนิดๆ ซึ่งถือเป็นหนังที่สั้นที่สุดของ Nolan ตั้งแต่ Following (ที่ยาวแค่ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นเอง… ส่วน Quay ที่เป็นหนังสั้น ผมขอไม่เอามานับครับ)

เมื่อดูจบสองรอบ ผมอาจตอบไม่ได้ว่าหนังต้องการบอกอะไร Christopher Nolan ต้องการสื่ออะไร (ถ้าอยากรู้ควรฟังจากบทสัมภาษณ์ของ Nolan จะดีที่สุด) แต่ผมบอกได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร และเห็นอะไรจากหนังเรื่องนี้…

ยุทธการที่ดันเคิร์กคืออะไร? ผมคงไม่สาธยายนะครับ เพราะเสิร์จ Google ก็เจอแล้ว อ่านตรงนั้นจะละเอียดกว่า ว่าง่ายๆ ก็คือทหารฝ่ายสัมพันธมิตรถูกทหารเยอรมันล้อมที่ชายหาดดันเคิร์กครับ นั่นทำให้ทหารฝ่ายสัมพันธมิตรต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหนีไปจากที่นั่น

แม้นี่จะเป็นหนังสงคราม แต่ลีลาการเล่าจะต่างจากหนังสงครามเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะ The Longest Day, A Bridge to Far, Tora Tora Tora ไล่มาจนถึง Saving Private Ryan ที่มักจะเล่าแบบสำรวจประวัติศาสตร์ เดินเรื่องเป็นเส้นตรง มีจุดเริ่ม จุดจบแบบชัดเจน

Dunkirk เล่าเหตุการณ์ 3 ช่วงเวลาที่เกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่เหตุการณ์ที่หาด, เหตุการณ์ที่ชาวบ้านเดินทางมาช่วยทหาร และเหตุการณ์บนฟ้าของเหล่าเสืออากาศ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเราต้องตามเรื่องดีๆ สังเกตรายละเอียดของแต่ละฉากให้ดี ไม่งั้นอาจงงได้ (ประมาณเดียว Manchester by the Sea น่ะครับ)

Nolan บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่าเขาจะเล่าสไตล์นี้ครับ สำหรับผมถือว่าเป็นการ “ลองของ” ตามสไตล์พี่แกนั่นเอง ซึ่งก็บอกได้เลยครับว่ามันต้องมีทั้งคนที่ชอบ (เพราะจูนกับสไตล์นี้ได้) และต้องมีคนที่ไม่แนวกับสไตล์นี้ จนอาจเฉยๆ หรือไม่ก็ไม่ชอบหนังไป อันนี้ก็บอกไว้ก่อนเผื่อจะมีการปรับใจก่อนดู

ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าการเล่าแบบนี้อาจทำให้หนังไม่สามารถไล่อารมณ์ตามลำดับได้ ประเภทว่าเรียงลำดับตามสูตรเดิม ที่เริ่มด้วยการแนะนำตัวละคร แล้วก็เดินเรื่องไปจนถึงไคลแม็กซ์ ซึ่งประโยชน์ของการเดินเรื่องแบบนั้นคือจะสามารถบิ้วอารมณ์และสร้างให้คนดูเกิดความผูกพันกับตัวละครได้ง่ายกว่า ในขณะที่สไตล์นี้หลายคนอาจรู้สึกโดดทางอารมณ์อยู่บ้าง

สำหรับผมนั้น ถ้าถามว่าอินไหม ผมว่าผมก็ยังอินนะ แต่มันไม่ใช่อินแบบลงลึก แต่จะเป็นอารมณ์อินแบบผู้สังเกตการณ์ อินเป็นฉากๆ เป็นพักๆ แต่ความอินที่ว่านี่ พอถึงคราวจะอินมันก็อินเยอะอยู่นะครับ อย่างฉากแรกเลยที่อารมณ์อินมันไหลมาเทมาก็คือฉาก “หามคนป่วย เดินข้ามไม้แผ่นเดียว”

แน่นอนว่าความอินที่บังเกิด มันก่อกำเนิดขึ้นด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะดนตรีขยี้ใจของ Hans Zimmer ที่ “บีบ เค้น คั้น” จนถึงขั้นต้องร้องขอชีวิต คือมันกดดันมากน่ะครับ บิ้วแบบต่อเนื่องจนความกดดันแผ่ซ่านไปทั่ว การเล่นตัวโน้ตซ้ำๆ ย้ำๆ พร้อมซาวด์รอบๆ ที่เหมือนกับค่อยๆ เป็นกำแพงล้อมตัวเรา แล้วก็บีบเข้ามาเรื่อยๆ… มันได้จริงๆ

ไหนจะเครื่องประกอบฉากที่ถือว่าเสริมความขลังให้หนังได้เยอะครับ เอาแค่ตอนได้เห็นปืนนับร้อยกระบอกพาดเรียงกันเป็นตับอยู่ตรงริมหาด หรือหมวกทหารที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป นี่ก็ทำให้รู้สึกถึงความขลังได้อย่างดีแล้วล่ะครับ
(ยังไม่จบ พรุ่งนี้มาต่อกันครับ)
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน

ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

Similar Videos

รีวิว Automata (2014) ล่าจักรกล ยึดอนาคต

2041 0

Autómata เป็นหนังไซไฟโลกอนาคตครับ พล็อตชวนให้นึกถึงหนังอย่าง I, Robot แต่มันจะไม่อลังการแบบนั้นครับ ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด เนื้อเรื่องก็ว่าด้วย ฌาค วาแคน (Antonio Banderas) เจ้าหน้าที่บริษัทหุ่นยนต์ที่ต้องตามสืบเงื่อนงำของพวกหุ่นยนต์ที่เริ่มมีความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง และมีแววว่าจะก่อการปฏิวัติ จนอาจก่อให้เกิดหายนะกับมนุษย์ได้ อารมณ์หนังก็ออกมาสไตล์เกรดบีที่ดูดีแบบเกรดเอครับ ฉากหลังคือโลกอนาคตที่แห้งแล้ง สิ่งแวดล้อมก็เสื่อมโทรมอันเนื่องจากการกระทำของมนุษย์ ซึ่งก็ชวนให้นึกถึง Cyborg และ Nemesis อยู่เหมือนกัน ในขณะที่พล็อตก็เน้นการสืบครับ เน้นการสนทนาสะท้อนสาระไม่ว่าจะสะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ค่อยๆ นำพาตัวเองไปสู่หายนะ (อย่างการใช้ทรัพยากรแบบไม่คิด โลกก็เลยแห้งแล้งเสื่อมลง เช่นนี้เป็นต้น) แต่หากพูดถึงความน่าติดตามแล้ว หนังยังไม่น่าติดตามขนาดนั้นครับ คือดูได้เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นเป็นพิเศษอะไร ส่วนประเด็นสาระที่ว่านั้น หากใครดูหนังไซไฟที่มีหุ่นยนต์มาเยอะๆ ก็อาจไม่รู้สึกอะไรนัก

รีวิว The Monuments Men (2014) เดอะ โมนิวเมนท์ เม็น กองพันฉกขุมทรัพย์โลกสะท้าน

1798 0

ผมว่า The Monuments Men เป็นหนังที่มีความหมายนะครับ กับการจับเอาเรื่องราวในประวัติศาสตร์ว่าด้วยคนกลุ่มหนึ่งพยายามปกป้องศิลปวัตถุให้รอดพ้นจากภัยสงคราม ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

รีวิว Before I Fall (2017) ตื่นมา ทุกวัน ฉันตาย (ตอนจบ)

1698 0

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด สาระสำคัญอย่างหนึ่งที่ผมได้จากหนังเรื่องนี้คือ หนังชี้ชวนให้เรารู้จัก “หยุด” เพื่อจะหันมามอง มาพิจารณา และทบทวนชีวิตตนเองเสียบ้าง อย่ามัวแต่ใช้ชีวิตแบบถูลู่ถูกังไปอย่างไร้ทิศทาง ไร้แก่นสาร เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่คู่ควรให้เราปฏิบัติต่อมันในแบบที่ดีกว่านั้น ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด