รีวิว Phantasm: Ravager (2016)

รีวิว Phantasm: Ravager (2016)

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด

แน่ใจว่าในบ้านเราคงมีคนรู้จักหนังชุดนี้อยู่ไม่มากครับ และคนที่ดูครบชุดก็น่าจะมีน้อยลงไปอีก (ภาคนี้จะมีแผ่นเข้าบ้านเราไหมก็ยังไม่แน่ใจเลยเนี่ย 555) ดังนั้นบทความนี่จะออกแนวเฉพาะกลุ่มหน่อยๆ ครับ เหมาะสำหรับแฟนๆ หนังชุดนี้ หรือไม่ก็คนที่อยากรู้จักหนังชุดนี้น่ะนะครับ ^_^

Phantasm คือหนังสยองระดับตำนานอีกหนึ่งชุดครับ ภาคแรกถือกำเนิดในปี 1979 ว่าด้วยเพื่อนรักกลุ่มหนึ่งไปค้นพบความลับที่ซ่อนอยู่ในสถานที่เก็บศพประจำเมือง ที่นั่นมีชายลึกลับร่างสูง (อันเป็นที่มาของฉายา The Tall Man) ที่มีพละกำลังอย่างเหลือเชื่อ และแอบเอาศพของชาวเมืองไปเพื่อแผนบางอย่าง

ภาคแรกทำได้สนุกสุดครับ ลึกลับ น่ากลัว หลอน ชวนฉงน มีเอกลักษณ์ในแบบของตัวเอง และผู้กำกับอย่าง J.J. Abrams ยังออกตัวว่าชอบมากและเขายังเป็นหัวหอกในการเอาภาคแรกที่ว่ามา Remaster เป็น Blu-Ray แบบ 4K ให้แฟนๆ ได้สะใจกัน (เพราะหลายฉากของหนัง หากดูแบบ HD นะ มันจะสวย+หลอนได้แบบลงตัว – โดยเฉพาะฉาก Tall Man เดินมาเดี่ยวๆ กลางห้องเก็บศพ)

แล้วหนังก็ทำตามออกมาจนถึงภาค 4 ครับ (ภาค 3 ได้เข้าในไทยในชื่อ “วงจรประหลาด ไม่อุบาทว์-แต่ดุ”) ทุกภาคกำกับโดย Don Coscarelli แล้วก็เว้นช่วงไปนานมากจนผมเองก็คิดว่าคงเลิกสร้างแล้วล่ะ เพราะจริงๆ ตอนจบภาค 4 นั้น หากจะตัดให้มันจบ ณ ตรงนั้นก็ได้เหมือนกัน ไม่ถึงกับน่าเกลียดอะไร


แต่ในที่สุดก็มีการเข็นภาค 5 นี้ออกมาครับ ซึ่งสร้างห่างจากภาค 4 ถึง 18 ปี (ปีนี้เป็นปีแห่งหนังภาคต่อข้ามทศวรรษจริงๆ นะ เพราะหนังภาคต่อหลายเรื่องสร้างห่างจากภาคก่อนเป็น 10 ปีทั้งนั้น) โดยคนมากำกับคือ David Hartman แฟนอีกคนของหนังชุดนี้ที่มีประสบการณ์ในหนังแอนิเมชั่นและหนังเน้น CG มาพอสมควร

ภาคนี้ตั้งใจจะให้เป็นภาคจบครับ แต่ผมก็คิดก่อนดูแล้วล่ะว่ามันคงไม่ขมวดจบสรุปเรื่องได้จริงหรอก เนื่องจากสเกลเรื่องมันใหญ่ครับ ภาคแรก The Tall Man ยังเป็นเหมือนปีศาจในเมืองเล็กๆ แต่พอมาถึงภาค 4 นี่พลังอำนาจของมันกลายเป็นมอนสเตอร์ระดับจักรวาล ชนิดที่ถ้าอยากสยบ The Tall Man นะ ต้องไปตามพวก Avengers มาน่ะครับถึงจะเอาอยู่

ภาคนี้เลยเป็นการพยายามหาทาง “แลนดิ้ง” เรื่องราวลง เป็นการพยายามปิดตำนานให้มันสวยๆ สักหน่อย ถ้าถามว่าผลเป็นยังไง ก็รู้สึกได้ครับว่าผมชอบหนังภาคนี้น้อยที่สุด ซึ่งที่บอกว่าน้อยนี่ไม่ได้แปลว่าหนังแย่นะครับ จริงๆ มันก็ดูได้เพลินๆ นั่นแหละ เพียงแต่ความสนุกหรือความน่าติดตามมันเทียบภาคที่แล้วๆ ยังไม่ได้

++++++++++++++++++++++
ถัดจากนี้ก็จะมีสปอยล์ล่ะนะครับ
หากไม่อยากทราบข้ามได้เลยครับ
+++++++++++++++++++++++

จริงๆ ภาคนี้มีบทที่น่าสนใจ มันมีเรื่องมิติคู่ขนานมาเกี่ยวน่ะครับ เรื่องโลกความฝัน-ความจริง แล้วก็การบอกเล่าว่าหลังจากตอนจบภาค 4 แล้วมันเกิดอะไรขึ้นต่อกับเหล่าตัวละคร โดยเนื้อเรื่องน่ะถือว่าน่าสนใจอยู่

แต่การเล่าเรื่องยังไม่ถึงกับน่าติดตามครับ และหนังพยายามเน้น CG มากเกินไป ก็พอเข้าใจล่ะครับว่าอยากสร้างความยิ่งใหญ่ แต่ผมว่าเสน่ห์จริงๆ ของ Phantasm คือความหลอนแบบที่เกิดขึ้นได้ใกล้ๆ ตัว อารมณ์มันจะประมาณว่าในตอนนี้โรงงานใกล้ๆ บ้านเรา หรือหอพักใกล้ๆ บ้านเราอาจเกิดเรื่องหลอนขึ้น อาจมีตัวสยองกำลังค่อยๆ กลืนคนไปโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ภาคแรกอารมณ์มันจะใกล้ตัวประมาณนั้นน่ะครับ

แต่ก็พอเข้าใจน่ะครับ ภาค 4 ก็เล่าไปซะไกลขนาดนั้นแล้ว ภาคนี้เลยพยายามต่อยอด ถ้าพูดในเชิงเนื้อเรื่องก็โอเคครับ แต่งานภาพที่ CG แบบไม่เนียนเท่าไรมันก็กลบความน่ากลัวที่หนังพึงมี ไปๆ มาๆ ฉากที่น่าสนใจคือฉากง่ายๆ อย่างโถงทางเดินของโรงพยาบาลที่มืดสนิท หรือฉากที่ตัวละครนอนอยู่แล้วเกิดอะไรแปลกๆ ขึ้น แบบนี้เป็นต้น

อีกอย่างคือจังหวะการเล่าเรื่องมันยังไม่เด่นครับ 4 ภาคแรกน่ะได้ Don Coscarelli คุมตลอด และเขาก็เก่งอยู่แล้วในการเล่าเรื่องแบบชวนฉงน (แต่ดูรู้เรื่อง) ในขณะที่ Hartman ชั่วโมงบินยังไม่ถึงน่ะครับ การเล่าเรื่องเลยยังไม่โดนเต็มที่ และบางฉากก็ดูเป็นหนังเกรดบีค่อนไปทางซีเลยก็มี (ในขณะที่งานของ Coscarelli แม้จะออกแนวเกรดบีเหมือนกัน แต่ก็เป็นเกรดบีมีคลาส มีเอกลักษณ์ในแบบของตัวเองอยู่เสมอ)

แต่แนวคิดเรื่องมิติคู่ขนานถือว่าไม่เลวครับ เป็นการแลนดิ้งที่ดี คือแม้สุดท้ายการต่อสู้ระหว่างพวกตัวเอกกับ Tall Man จะยังไม่จบลงจริงๆ ก็ตาม แต่เราก็จะได้เห็นบทสรุปของ “อีกโลกหนึ่ง” ว่าเป็นเช่นไร แต่ก็อย่างที่บอกครับ จังหวะการสลับระหว่างโลกความฝัน-ความจริง มันยังไม่จับใจ ไม่เหมือนภาคก่อนๆ ที่ลีลาการเล่ามันมีชั้นเชิงกว่านี้


สรุปว่าลำดับความชอบของผมที่มีต่อหนังชุดนี้ก็เรียงไปตามภาคเลยครับ 1 2 3 4 5 ซึ่งคนที่น่าจะโอกับหนังเรื่องนี้ก็คงเป็นแฟนๆ ที่ตามกันมานานน่ะครับ ไหนๆ ก็ดูแล้ว ก็ตามมาดูกันให้จบ (แต่แฟนๆ หลายคนดูแล้วไม่ชอบก็มีครับ) แต่หากใครเป็นขาจร ก็น่าจะเฉยๆ หรือไม่ก็งงว่าตกลงมันเรื่องอะไรกัน

แล้วก็สนุกเล็กๆ ที่ได้เจอตัวละครเก่าๆ อย่าง สาวในชุดสีลาเวนเดอร์จากภาคแรก (Kathy Lester) และ ร็อกกี้ จากภาค 3 (Gloria Lynne Henry) แม้จะเจอแค่อย่างละนิดละหน่อยก็เถอะ

สำหรับผมก็ถือเป็นการโบกมืออำลา Angus Scrimm เจ้าของบท Tall Man ด้วยครับ เพราะท่านเสียชีวิตไปเมื่อต้นปี 2016 ที่ผ่านมา ขอไว้อาลัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ (เคยเห็นคลิปเบื้องหลัง ท่านน่ารักมากๆ และพูดภาษาไทยได้ด้วยนะ)
คะแนนความชอบ 6/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน

ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

Similar Videos

รีวิว Effie Gray (2014) เอฟฟี่ เกรย์ ขีดชะตารักให้โลกรู้

1816 0

Effie Gray นำเอาเรื่องจริงอันอื้อฉาวที่โด่งดังในยุควิคตอเรียนมาบอกเล่าครับ ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด เอฟฟี่ เกรย์ (Dakota Fanning) สาวน้อยที่แต่งงานกับจอห์น รัสกิน (Greg Wise) นักวิจารณ์ศิลปะชื่อดัง ในตอนแรกเธอก็คิดว่าชีวิตคู่น่าจะสวยงามครับ แต่แล้วเมื่อเธอได้อยู่กินกับเขาจริงๆ มันกลับเต็มไปด้วยความเหินห่าง เธอต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและอ้างว้าง จนนำมาสู่กรณีประวัติศาสตร์เมื่อเธอตัดสินใจยื่นขอต่อศาลให้การแต่งงานของเธอกับจอห์นเป็นโมฆะ ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

รีวิวซีรี่ส์ The Defenders (2017) เดอะ ดีเฟนเดอร์ส (ปลอดสปอยล์)

2347 0

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด และแล้ว 4 ฮีโร่แห่ง Marvel ก็มาเจอกันจนได้ครับ ได้แก่ แดร์เดวิล (Charlie Cox), นับสืบสาว เจสสิก้า โจนส์ (Krysten Ritter), จอมพลังคงกระพัน ลุค เคจ (Mike Colter) และหมัดเหล็กเรืองแสง ไอรอน ฟิสต์ (Finn Jones) ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

รีวิว Room (2015) รูม ขังใจไม่ยอมไกลกัน (มีสปอยล์ ตอนจบ)

2503 0

พอดูจนจบผมรู้สึกอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือรู้สึกชอบรสมือของผู้กำกับ Abrahamson ที่เล่าเรื่องได้ถึงอารมณ์ อีกทั้งยังเอาล่อเอาเถิดกับอารมณ์คนดู ประมาณว่าครึ่งแรกของหนังมันได้วางเงื่อนไขทางอารมณ์ให้เรา “กลัว” ในหลายๆ สิ่ง และทำให้มุมมองของเราห่างไกลจากคำว่า “โลกสวย” ไปพอสมควร ว่าง่ายๆ คือหนังแอบทำให้เราเกิดอาการมองโลกในแง่ร้ายได้ในระดับหนึ่ง ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด อย่างที่ 2 ที่รู้สึกคือ รู้สึกดีใจที่ดูหนังจนจบครับ เพราะถ้าไม่ดูให้จบนี่คาใจตายเลยนะ และที่สำคัญคือครึ่งหลังมันเหมือนเป็นการเยียวยาอารมณ์หดหู่เมื่อตอนต้นให้ฟื้นคืนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แม้จะไม่ถึงกับทำให้เราแฮ้ปปี้ลัลล้าก็เถอะ แต่มันก็ทำให้เรายิ้มออกมาได้ ทำให้เราพร้อมยืนหยัดเผชิญโลกต่อไปได้ ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องร้ายหรือดี ไม่ว่าเราจะเจอโลกสวยหรือทรามก็เถอะ จริงๆ เราอาจรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันโลกไม่สวยน่ะนะครับ แต่หากมองดีๆ ก็จะพบว่ามันแค่นำเอาด้านลบที่มีอยู่จริงในโลกมานำเสนอเท่านั้นแหละ และเอาเข้าจริงแล้วโลกนี้ก็ไม่ได้สดสวยหรือต่ำทรามไปเสียทั้งหมด ชีวิตคนก็เจอได้ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ซึ่งจุดสำคัญก็คือเราจะจัดการกับมันยังไง เราจะรับมือมันได้ไหม